แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 16
1
“โรคมะเร็ง” หนึ่งในโรคที่คร่าชีวิตอันดับต้นๆ ของคนทั่วโลก

ถูกต้องครับ! โรคมะเร็ง (Cancer) เป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง และยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญและท้าทายอย่างยิ่ง

สถานการณ์โรคมะเร็งทั่วโลก

อุบัติการณ์และอัตราการเสียชีวิตสูง: องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์กรวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (IARC) รายงานว่า มะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของโลก รองจากโรคหัวใจและหลอดเลือด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี

เป็นภัยคุกคามทุกเพศทุกวัย: แม้ว่าความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ แต่มะเร็งสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม: โรคมะเร็งไม่เพียงแต่คร่าชีวิต แต่ยังสร้างภาระด้านค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่สูงมาก รวมถึงผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว ไปจนถึงผลิตภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ


ทำไมโรคมะเร็งถึงเป็นภัยคุกคามระดับโลก?

ความซับซ้อนของโรค: มะเร็งไม่ใช่โรคเดียว แต่เป็นกลุ่มของโรคที่มีความหลากหลาย มะเร็งแต่ละชนิดมีพฤติกรรม อาการ และการตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกัน ทำให้การวินิจฉัยและการรักษาเป็นเรื่องท้าทาย

สาเหตุที่หลากหลาย: สาเหตุของมะเร็งมีทั้งปัจจัยภายใน (พันธุกรรม) และปัจจัยภายนอกที่ซับซ้อน (สิ่งแวดล้อม พฤติกรรมการใช้ชีวิต การติดเชื้อ) ทำให้การป้องกันโรคเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน

มักไม่มีอาการในระยะแรก: มะเร็งหลายชนิดมักไม่แสดงอาการที่ชัดเจนในระยะเริ่มต้น ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัวและมาพบแพทย์เมื่อโรคเข้าสู่ระยะลุกลามแล้ว ซึ่งยากต่อการรักษาให้หายขาด

การเข้าถึงการรักษาที่แตกต่างกัน: แม้จะมีการพัฒนานวัตกรรมการรักษาใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่การเข้าถึงเทคโนโลยีการวินิจฉัยและการรักษาขั้นสูงยังคงมีความเหลื่อมล้ำกันทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา

ความต้านทานต่อการรักษา: เซลล์มะเร็งสามารถพัฒนาความต้านทานต่อยาเคมีบำบัด หรือการรักษาอื่นๆ ได้ ทำให้การรักษาบางครั้งไม่ประสบความสำเร็จในระยะยาว


โรคมะเร็งที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ (ทั่วโลกและในไทย)

มะเร็งปอด: มักเกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่และมลภาวะทางอากาศ เป็นมะเร็งที่พบบ่อยและมีอัตราการเสียชีวิตสูง

มะเร็งตับ: พบบ่อยในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศไทย มักเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี และการดื่มแอลกอฮอล์

มะเร็งเต้านม: เป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในผู้หญิง แต่สามารถรักษาให้หายขาดได้สูงหากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก

มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก: มักเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการขาดการออกกำลังกาย

มะเร็งปากมดลูก: สาเหตุหลักคือการติดเชื้อ HPV สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนและการตรวจคัดกรองสม่ำเสมอ


ความหวังในการต่อสู้กับมะเร็ง

แม้โรคมะเร็งจะเป็นภัยร้าย แต่ก็มีความก้าวหน้าทางการแพทย์อย่างมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งในด้านการวินิจฉัยที่แม่นยำขึ้น การรักษาที่จำเพาะเจาะจงมากขึ้น (Targeted Therapy, Immunotherapy) และความเข้าใจในกลไกของโรคที่ลึกซึ้งขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งหลายชนิดมีอัตราการรอดชีวิตที่เพิ่มขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สิ่งสำคัญที่สุดคือการเน้นที่การป้องกัน การตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ และการตระหนักถึงอาการผิดปกติของร่างกาย เพื่อให้สามารถรับมือกับโรคมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

2
บริหารจัดการอาคาร: ขั้นตอนการติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่น ที่มีความปลอดภัย

ขั้นตอนการติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นอย่างปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งครับ เพราะเกี่ยวข้องกับไฟฟ้าและน้ำ ซึ่งหากติดตั้งไม่ถูกต้อง อาจเกิดอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตได้ เช่น ไฟดูด ไฟรั่ว ไฟช็อต หรือแม้แต่เครื่องระเบิด ดังนั้น ควรให้ช่างไฟฟ้าผู้เชี่ยวชาญที่มีใบรับรองเป็นผู้ติดตั้งเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

อย่างไรก็ตาม การทราบขั้นตอนและข้อควรระวังต่างๆ จะช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบเบื้องต้น และสื่อสารกับช่างได้อย่างเข้าใจครับ


อุปกรณ์และข้อกำหนดที่สำคัญ (ก่อนเริ่มติดตั้ง)

เครื่องทำน้ำอุ่น: ตรวจสอบรุ่น กำลังไฟ (วัตต์) และคุณสมบัติความปลอดภัย (เช่น ELCB)

สายดิน (Ground Wire): เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ต้องมีระบบสายดินที่ติดตั้งอย่างถูกต้องตามมาตรฐานการไฟฟ้า

เบรกเกอร์กันดูด (ELCB/RCBO): ขนาดเหมาะสมกับกำลังไฟของเครื่องทำน้ำอุ่น (โดยทั่วไปจะใช้ขนาด 20A หรือ 30A ขึ้นอยู่กับกำลังวัตต์) ควรเป็นแบบที่มีค่ากระแสไฟฟ้ารั่วไหลต่ำ (เช่น 10-30 mA)

สายไฟ: ต้องมีขนาดเหมาะสมกับกำลังไฟของเครื่อง (ตารางคำนวณขนาดสายไฟจะอยู่ที่คู่มือเครื่องทำน้ำอุ่น หรือปรึกษาช่าง) และควรเป็นสายทองแดงบริสุทธิ์

ท่อน้ำ: ท่อน้ำดีและท่อน้ำออก (สำหรับน้ำร้อน)

วาล์วน้ำ: สำหรับควบคุมการเปิด-ปิดน้ำเข้าเครื่องทำน้ำอุ่น

กาวพันเกลียวท่อ (Teflon Tape): สำหรับพันเกลียวข้อต่อท่อน้ำเพื่อป้องกันการรั่วซึม

เทปพันสายไฟ หรือ ขั้วต่อสายไฟแบบกันน้ำ: สำหรับการเชื่อมต่อสายไฟ

ไขควง, คีม, สว่าน, ตลับเมตร, ระดับน้ำ: สำหรับการติดตั้ง


ขั้นตอนการติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นอย่างปลอดภัย (ควรทำโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ)

1. การเตรียมพื้นที่และการติดตั้งเบรกเกอร์

เลือกตำแหน่งติดตั้ง: ควรติดตั้งในบริเวณที่ปลอดภัยจากละอองน้ำโดยตรง แต่ไม่ไกลจากฝักบัวมากเกินไป (เพื่อให้น้ำอุ่นเร็ว) และควรเป็นผนังที่แข็งแรงสามารถรับน้ำหนักเครื่องได้

ติดตั้งเบรกเกอร์กันดูด (ELCB/RCBO):

ต้องติดตั้งเบรกเกอร์นี้แยกจากวงจรไฟฟ้าอื่นๆ ของบ้าน เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

ตำแหน่งติดตั้ง: ควรอยู่ในจุดที่เข้าถึงง่ายและแห้ง ไม่เปียกน้ำ เพื่อความสะดวกในการเปิด-ปิด หรือกดรีเซ็ตเมื่อเกิดปัญหา

การเชื่อมต่อ: ช่างจะต่อสายไฟจากแผงควบคุมไฟฟ้าหลักของบ้านมายังเบรกเกอร์ ELCB/RCBO และต่อสายไฟจาก ELCB/RCBO ไปยังจุดติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่น

ทดสอบ ELCB/RCBO: หลังติดตั้งเสร็จ ช่างจะทำการทดสอบการทำงานของ ELCB/RCBO โดยการกดปุ่ม "TEST" หรือ "TRIP" เพื่อดูว่าเบรกเกอร์ตัดไฟได้ตามปกติหรือไม่


2. การเดินสายไฟและต่อสายดิน

เดินสายไฟ: ช่างจะเดินสายไฟหลัก (สาย L, N) และที่สำคัญคือ สายดิน (Ground/Earth Wire) จากเบรกเกอร์ ELCB/RCBO ไปยังจุดติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่น

ขนาดสายไฟ: ต้องใช้สายไฟที่มีขนาดหน้าตัดที่เหมาะสมกับกำลังวัตต์ของเครื่องทำน้ำอุ่น (ตัวอย่าง: เครื่อง 3500W อาจใช้สาย 2.5 Sq.mm, เครื่อง 4500W อาจใช้สาย 4.0 Sq.mm) และมีฉนวนหุ้มหนาแน่น

การต่อสายดิน:

ต้องมีระบบสายดินที่ได้มาตรฐาน: โดยมีแท่งกราวด์ (Ground Rod) ฝังลึกลงไปในดิน และต่อสายดินจากเครื่องทำน้ำอุ่นไปยังแท่งกราวด์นี้

การเชื่อมต่อ: สายดินจากเครื่องทำน้ำอุ่นจะถูกต่อเข้ากับขั้วต่อสายดินของเครื่อง และเชื่อมต่อกับระบบสายดินของบ้าน

ห้ามใช้เหล็กโครงสร้างบ้าน หรือท่อน้ำเป็นสายดินแทนเด็ดขาด! เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้

การเชื่อมต่อสายไฟกับเครื่อง: ช่างจะต่อสายไฟทั้งสามเส้น (L, N, G) เข้ากับขั้วต่อภายในตัวเครื่องทำน้ำอุ่นอย่างแน่นหนา ถูกต้องตามคู่มือ


3. การเดินท่อน้ำและต่อเข้ากับเครื่อง

เดินท่อน้ำดี: เดินท่อน้ำดีจากระบบประปาของบ้านมายังจุดติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่น และติดตั้งวาล์วน้ำ (Ball Valve) เพื่อใช้ในการเปิด-ปิดน้ำเข้าเครื่อง และควบคุมปริมาณน้ำ

การต่อท่อน้ำเข้าเครื่อง:

พันเกลียวท่อ: ใช้เทปพันเกลียว (Teflon Tape) พันรอบเกลียวข้อต่อท่อน้ำทั้งฝั่งน้ำเข้าและน้ำออกให้แน่นหนาหลายรอบ เพื่อป้องกันการรั่วซึม

ต่อสายน้ำดี: ต่อสายน้ำดีจากวาล์วน้ำเข้ากับช่อง "Water Inlet" หรือ "น้ำเข้า" ของเครื่องทำน้ำอุ่น

ต่อท่อน้ำร้อนออก: ต่อท่อหรือสายฝักบัวเข้ากับช่อง "Water Outlet" หรือ "น้ำออก" ของเครื่อง

เปิดวาล์วน้ำ: เมื่อต่อท่อน้ำเสร็จเรียบร้อย ให้เปิดวาล์วน้ำเข้าเครื่อง และเปิดฝักบัวให้น้ำไหลผ่านเครื่องจนกว่าจะไม่มีฟองอากาศออกมา เพื่อไล่อากาศที่ค้างอยู่ในระบบ


4. การทดสอบการทำงานของเครื่อง

ตรวจสอบการรั่วซึม: ตรวจสอบรอยต่อของท่อน้ำทั้งหมดว่ามีการรั่วซึมหรือไม่

เปิดเครื่องและทดสอบการทำความร้อน:

ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีน้ำไหลผ่านเครื่องก่อนเสมอ ก่อนที่จะเปิดเบรกเกอร์จ่ายไฟให้กับเครื่อง

เปิดเบรกเกอร์ ELCB/RCBO

เปิดเครื่องทำน้ำอุ่น และปรับอุณหภูมิ ลองสังเกตว่าเครื่องทำความร้อนได้ตามปกติหรือไม่ และน้ำอุ่นมีอุณหภูมิสม่ำเสมอหรือไม่

ทดสอบระบบ ELCB/RCBO อีกครั้ง: หลังเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นแล้ว ควรกดปุ่ม "TEST" หรือ "TRIP" บนเบรกเกอร์ ELCB/RCBO อีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าระบบยังคงทำงานและตัดไฟได้เมื่อมีกระแสไฟฟ้ารั่วไหล


5. การเก็บงาน

จัดเก็บสายไฟและท่อน้ำให้เรียบร้อย สวยงาม และปลอดภัย

ปิดฝาครอบเครื่องทำน้ำอุ่นให้สนิท

ทำความสะอาดบริเวณที่ติดตั้ง


ข้อควรระวังเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

ไม่ควรติดตั้งเอง หากไม่มีความรู้และประสบการณ์ด้านไฟฟ้า: อันตรายถึงชีวิตได้

ต้องมีสายดินและเบรกเกอร์กันดูด ELCB/RCBO ที่ได้มาตรฐานเสมอ: ห้ามละเลยเด็ดขาด

ขนาดสายไฟต้องเหมาะสม: สายไฟขนาดเล็กเกินไปจะทำให้สายไฟร้อนจัดและเกิดไฟไหม้ได้

ห้ามเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นในขณะที่ไม่มีน้ำไหลผ่านเครื่อง: เพราะอาจทำให้ฮีทเตอร์เสียหายหรือระเบิดได้

หมั่นตรวจสอบระบบสายดินและเบรกเกอร์ ELCB/RCBO เป็นประจำ: โดยการกดปุ่ม Test/Trip เดือนละ 1 ครั้ง

หากมีอาการผิดปกติใดๆ: เช่น ไฟรั่ว ไฟดูด กลิ่นไหม้ เสียงดังผิดปกติ หรือเครื่องไม่ทำงาน ให้ปิดเบรกเกอร์ทันที และเรียกช่างผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ

การลงทุนกับการติดตั้งที่ถูกต้องและปลอดภัยโดยช่างผู้เชี่ยวชาญคุ้มค่ากว่าการเสี่ยงอันตรายจากไฟฟ้าและน้ำในระยะยาวครับ

3
หมอออนไลน์: โลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ (Aplastic anemia)

ไขกระดูก (bone marrow) อยู่ในโพรงกระดูกทั่วร่างกายมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ เม็ดเลือดแดง (red blood cells) เม็ดเลือดขาว (white blood cells) และเกล็ดเลือด (platelets)

ในคนบางคนอาจเกิดภาวะผิดปกติของไขกระดูกเป็นเหตุให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดได้น้อยลง หรือไม่ได้เลยทั้ง 3 ชนิด เกิดภาวะโลหิตจาง (เพราะขาดเม็ดเลือดแดง) ติดเชื้อง่าย (เพราะขาดเม็ดเลือดขาว) และเลือดออกง่าย (เพราะขาดเกล็ดเลือด) เรียกว่า โรคโลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ หรือ โรคโลหิตจางอะพลาสติก

โรคนี้พบได้ค่อนข้างน้อย แต่เป็นภาวะที่มีอันตรายร้ายแรงถึงเสียชีวิตได้ พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่พบได้บ่อยในกลุ่มวัยรุ่น วัยหนุ่มสาว และผู้สูงอายุ

สาเหตุ

ประมาณกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ แพทย์อาจตรวจไม่พบสาเหตุชัดเจน

ส่วนที่พบมีสาเหตุ อาจเกิดจากสาเหตุ เช่น

    การได้รับรังสีบำบัด หรือเคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็ง 
    ผลข้างเคียงของยา เช่น คลอแรมเฟนิคอล (ยาปฏิชีวนะ ซึ่งปัจจุบันมีการใช้น้อยลง) ซัลฟา เฟนิโทอิน คาร์บามาซีพีน เอซีที (AZT)  สารเกลือของทอง (gold salt ซึ่งใช้รักษาโรคปวดข้อรูมาตอยด์) เป็นต้น
    การสัมผัสสารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า สารหนู สารเคมีที่มีสูตรเบนซิน (เช่น สีทาบ้าน น้ำยาลบสี น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด) ทินเนอร์
    การติดเชื้อไวรัส เช่น เอชไอวี ไวรัสตับอักเสบ ไวรัสเอปสไตน์บาร์ (Epstein-Barr virus/EBV), ไวรัสไซโตเมกะโล (cytomegalovirus) เป็นต้น
    ปฏิกิริยาภูมิต้านตัวเอง (ออโตอิมมูน) เกิดการทำลายเซลล์ไขกระดูก ทำให้สร้างเม็ดเลือดไม่ได้
    การตั้งครรภ์ อาจพบโรคนี้ในผู้หญิงขณะตั้งครรภ์ ซึ่งมักเป็นเพียงชั่วคราว และหายได้เองหลังคลอด


อาการ

ส่วนใหญ่จะค่อยเป็นค่อยไป โดยมีอาการซีด อ่อนเพลีย มีจุดแดงพรายย้ำขึ้นตามตัว หรือมีเลือดออกจากที่ต่าง ๆ เช่น เลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะเป็นเลือด เลือดออกในตา เลือดออกในสมอง เป็นต้น

นอกจากนี้ยังพบมีอาการของโรคติดเชื้อร่วมด้วย ทำให้มีไข้เรื้อรังร่วมกับการติดเชื้อของอวัยวะต่าง ๆ

ผู้ป่วยจะไม่มีอาการตับ ม้าม หรือต่อมน้ำเหลืองโต (ถ้าโตอาจเป็นอาการของมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือมีสาเหตุอื่น ๆ ร่วมด้วย)

ผู้ป่วยอาจตายเพราะการตกเลือด หรือการติดเชื้อรุนแรงจนกลายเป็นโลหิตเป็นพิษ


ภาวะแทรกซ้อน

อาจมีเลือดออกรุนแรง อาจเกิดการติดเชื้อร้ายแรงจนกลายเป็นโลหิตเป็นพิษ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและการตรวจพบว่า มีไข้ ซีด มีจุดแดงพรายย้ำขึ้นตามตัว อาจมีเลือดออกจากที่ต่าง ๆ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจเลือดซึ่งจะพบว่า มีจำนวนเม็ดเลือดแดงน้อย เม็ดเลือดขาวต่ำ ซึ่งอาจต่ำกว่า 2,000 ตัว/ลบ.มม. (ปกติ 5,000-10,000 ตัว) และเกล็ดเลือดต่ำกว่า 30,000 ตัว/ลบ.มม. (ปกติ 200,000-400,000 ตัว) และทำการตรวจไขกระดูก ซึ่งจะพบว่าจำนวนเซลล์อ่อนของเม็ดเลือดทุกชนิดลดลงมาก พบเป็นไขมันและเยื่อพังผืดกระจายอยู่แทน


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลให้การดูแลรักษา ดังนี้

ถ้าเป็นชนิดเล็กน้อย แพทย์จะให้เลือดและเกล็ดเลือด และให้ยาปฏิชีวนะในรายที่มีโรคติดเชื้อแทรกซ้อน

ในรายที่เป็นรุนแรง (มีเม็ดเลือดขาวต่ำกว่า 500 ตัว/ลบ.มม. เกล็ดเลือดต่ำกว่า 20,000 ตัว/ลบ.มม.) นอกจากให้เลือดและยาปฏิชีวนะแล้ว แพทย์จะทำการปลูกถ่ายไขกระดูก (bone marrow transplantation)

ผู้ป่วยที่ไม่สามารถปลูกถ่ายไขกระดูกได้ หรือมีสาเหตุจากปฏิกิริยาภูมิต้านตัวเอง แพทย์จะให้ยากดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressive) เช่น ไซโคลสปอรีน (cyclosporine), แอนติไทโมไซต์โกลบูลิน (antithymocyte globulin/ATG) ซึ่งมักจะให้ร่วมกัน เพื่อช่วยให้เซลล์ไขกระดูกงอกใหม่และสร้างเม็ดเลือดได้ใหม่ นอกจากนี้แพทย์จะให้สเตียรอยด์ (เช่น เมทิลเพร็ดนิโซโลน) ร่วมด้วย   

บางรายแพทย์อาจให้ยากระตุ้นไขกระดูก (เช่น colony-stimulating factors) ช่วยให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดได้ใหม่

ผลการรักษา ผู้ป่วยที่เป็นชนิดเล็กน้อย (เช่น อาการที่พบในหญิงตั้งครรภ์ หรือเกิดจากผลข้างเคียงของยา) เมื่อได้รับการรักษาก็มักจะหายได้

ผู้ป่วยที่เป็นรุนแรง ที่ได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก มีอัตราการอยู่รอดที่ 5 ปีโดยเฉลี่ย ร้อยละ 50-80 ผู้ป่วยที่มีอายุน้อยได้ผลดีกว่าอายุมาก เช่น อายุต่ำกว่า 20 ปี มีอัตราการอยู่รอดที่ 5 ปีมากกว่าร้อยละ 80 ขณะที่อายุมากว่า 40 ปี มีอัตราการอยู่รอดที่ 5 ปีเพียงร้อยละ 50

ผู้ป่วยที่รักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน มีอัตราการอยู่รอดที่ 5 ปี ราวร้อยละ 50-75 แต่มีโอกาสโรคกลับกำเริบใหม่ และอาจเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันแทรกซ้อน   

ส่วนผู้ที่เป็นโรคนี้รุนแรงและเรื้อรัง หากไม่ได้รับการรักษาหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษามีโอกาสเสียชีวิตใน 18-24 เดือนถึงร้อยละ 80

ลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้เรื้อรัง ซีด มีจุดแดงจ้ำเขียวหรือเลือดออก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไขกระดูกฝ่อ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด


การป้องกัน

ส่วนใหญ่ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล การหลีกเลี่ยงการใช้ยาและการสัมผัสสารเคมีที่เป็นสาเหตุของโรคนี้ อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้


ข้อแนะนำ

โรคนี้หากเป็นเล็กน้อย หรือถึงเป็นรุนแรงแต่ได้รับการดูแลรักษาอย่างจริงจัง มีทางรักษาให้หายได้ ดังนั้นหากสงสัย ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว และควรให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยให้มีความอดทนในการติดต่อรักษากับแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง

4
การจัดฟันเด็ก ทางเลือกดีๆเพื่อหนูน้อยฟันสวย

การจัดฟัน สามารถทำได้ตั้งแต่ตอนที่เป็นเด็ก อายุระหว่าง 6 หรือ 7 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงที่ฟันกำลังพัฒนาและขากรรไกรกำลังเจริญเติบโต ซึ่งหมายความว่าปัญหาบางอย่าง เช่น ฟันซ้อน จะแก้ไขได้ง่ายกว่าตอนโตเป็นผู้ใหญ่ และสิ่งสำคัญที่น่าสังเกตก็คือ การจัดฟันในเด็กไม่สามารถแก้ไขปัญหาการจัดฟันได้ทุกแบบ แต่อาจจะช่วยได้ในบางกรณีเท่านั้น และสภาพช่องปากที่สามารถแก้ไขได้มีอยู่ 2 แบบ ที่จำเป็นต้องจัดฟันตั้งแต่เด็ก ได้แก่ ฟันสบไขว้และฟันหน้ายื่น

    ฟันสบไขว้ อาจทำให้ขากรรไกรเจริญเติบโตไม่สมดุลกัน และมีปัญหาในการบดเคี้ยวอาหาร
    ฟันหน้าที่ยื่นออกมาก็อาจเสี่ยงต่อการแตกหักหรือบาดเจ็บเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เช่น เกิดอุบัติเหตุหกล้ม เป็นต้น

การจัดฟันในเด็กนั้น เป็นการใช้ประโยชน์จากขากรรไกรของเด็กที่กำลังอยู่ในช่วเจริญเติบโต นอกจากนี้ยังอาจจะสามารถแก้ไขส่วนโค้งของแนวฟันและขากรรไกรที่อยู่ในตำแหน่งไม่เหมาะสมได้อีกด้วย ซึ่งอุปกรณ์จัดฟันอาจจะแก้ไขหรือปรับปรุงปัญหาเหล่านี้ได้ ตามปกติแล้ว หลังจากการจัดฟันจะต้องรับการรักษาอย่างอื่นเพิ่มเติม แต่อาจจะใช้เวลาน้อยกว่าการจัดฟัน ในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมา เหล็กจัดฟันของเด็กได้รับการพัฒนาขึ้นมามาก เทคโนโลยีช่วยให้เหล็กจัดฟันสมัยนี้ใส่สบายขึ้นและสวยงามกว่าเหล็กจัดฟันสมัยก่อน ที่พ่อและแม่เคยใส่ นอกจากนี้ยังราคาถูกลง ซึ่งหมายความว่าเด็กๆ จำนวนมากที่มีปัญหาเรื่องของฟัน สามารถที่จะได้เข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันมากขึ้นกว่าเดิม

เด็กที่ติดเหล็กจัดฟันและอุปกรณ์ทางทันตกรรมชนิดอื่นๆ จะต้องรักษาสุขอนามัยในช่องปากเป็นอย่างดี คุณจะต้องให้ลูกนั้นบ้วนปากด้วยน้ำเปล่า 3-4 ครั้งต่อวัน เพื่อกำจัดเศษอาหารที่ติดอยู่ภายในเหล็กจัดฟัน จะต้องแปรงฟันให้สะอาดทุกครั้งหลังกินอาหาร และก่อนนอนทุกคืน เด็กๆจะต้องขัดฟันและบ้วนปากด้วยฟลูออไรด์เพื่อรักษาฟันให้แข็งแรงและป้องกันฟันผุอยู่เสมอ ผู้ปกครองเองควรจะช่วยลูกขัดฟันด้วย เพื่อกำจัดเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์บริเวณเหงือกและใต้ร่องเหงือกออกให้หมด ไม่อย่างนั้นสิ่งสกปรกเหล่านี้ จะแข็งตัวเป็นหินปูนในภายหลัง

นอกจากนี้แล้วการขัดฟันยังเป็นการทำความสะอาดซอกเล็กซอกน้อย ที่เราไม่สามารถแปรงสีฟันไปถึงได้  เหล็กจัดฟันอาจจะทำให้การขัดฟันเป็นเรื่องยาก แต่คุณมีทางเลือกมากมายที่สามารถช่วยให้เหงือกของลูกน้อยแข็งแรงอยู่เสมอ เช่น ไปพบปรึกษาทันตแพทย์จัดฟันหรือทันตแพทย์ของลูก เพื่อขอคำแนะนำในการดูแลช่องปาก พาลูกไปพบทันตแพทย์เป็นประจำทุกๆ 6 เดือน เพื่อทำความสะอาดและตรวจสุขภาพฟัน ทันตแพทย์จะบอกคุณเองว่าต้องใส่ใจบริเวณใดเป็นพิเศษ และช่วยให้คุณสามารถดูแลฟันของลูกน้อยส่วนที่อยู่ภายในหรือใกล้เคียงกับเหล็กจัดฟันให้แข็งแรงและสะอาดอยู่ตลอดเวลา โดยทันตแพทย์จะแนะนำเครื่องมือ หรือแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการดูแลรักษาฟันของลูกน้อยให้แข็งแรงขณะที่ใส่เหล็กจัดฟัน

ขั้นตอนในการรักษา ถึงแม้ว่า แผนการจัดฟันของเด็กแต่ละคนแตกต่างกันไป แต่เด็กส่วนใหญ่จะต้องติดเหล็กจัดฟันเป็นเวลา 1-3 ปี ขึ้นอยู่กับปัญหาช่องปากของแต่ละคนที่ต้องได้รับการแก้ไข หลังจากจัดฟันเสร็จแล้วผู้ป่วยจะต้องสวมใส่เครื่องมือคงสภาพฟันหรือที่เรียกว่า รีเทนเนอร์ นั่นเอง จำเป็นจะต้องใส่ไว้อีกระยะหนึ่ง เพื่อคงฟันให้อยู่ในตำแหน่งใหม่ที่ได้ทำเข้าจัดให้เข้าที่ ถึงแม้ว่าการจัดฟันจะทำให้รู้สึกรำคาญไปบ้าง แต่เหล็กจัดฟันในปัจจุบันนี้นั้นใส่สบายกว่าในอดีตมาก


ซึ่งทันตแพทย์อาจจะติดเครื่องมือขยายขากรรไกรบนเพื่อขยายแนวโค้งของฟันบน เพื่อให้ฟันมีพื้นที่ในการเจริญเติบโตมากขึ้นและลดการเกิดปัญหาฟันซ้อน โดยการรักษาจะเน้นการติดอุปกรณ์จัดฟันเป็นหลัก เครื่องมือขยายขากรรไกรบนจะประกอบด้วยพลาสติกสองชิ้นที่ต้องติดเข้ากับด้านข้างของฟันกรามบน และสกรูขยายขากรรไกร เมื่อขันสกรูขยายขากรรไกรอุปกรณ์จะดันขากรรไกรทั้งสองด้านออกจากกัน ทำให้ขากรรไกรค่อยๆกว้างขึ้น และเกิดพื้นที่ว่างให้ฟันแท้ของเด็กงอกขึ้นมา เมื่อแนวโค้งของฟันได้ขนาดที่เหมาะสม ฟันแท้จะสามารถงอกขึ้นมาในตำแหน่งที่เหมาะสมกว่าเดิมได้

มือกันฟันล้ม เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของเทคนิคการรักษาฟันในเด็ก หากฟันน้ำนมของเด็กหักเร็วเกินไป ซึ่งมีสาเหตุมาจากฟันผุหรือได้รับบาดเจ็บก็ตาม ฟันซี่อื่นๆก็อาจจะเคลื่อนมายังช่องว่างที่เกิดขึ้นได้ เพื่อป้องกันภาวะดังกล่าว ทันตแพทย์จะติดตั้งเครื่องมือกันฟันล้มเพื่อรักษาช่องว่างดังกล่าวเอาไว้ และรอให้ฟันแท้งอกขึ้นมา เครื่องมือกันฟันล้ม อาจจะเป็นห่วงหรือครอบฟันชั่วคราว ที่ต้องนำไปติดกับช่องว่างของฟันและจะต้องถอดออกเมื่อเด็กเริ่มมีฟันแท้งอกขึ้นมาแล้ว วิธีนี้จะทำให้ลูกน้อยของคุณไม่ต้องจัดฟันที่มีราคาแพงและใช้เวลานานหลายปี


5
เคล็ดลับการตกแต่งบ้านสไตล์นอร์ดิก และกาารเลือกของตกแต่งบ้าน

สไตล์นอร์ดิกได้รับแรงบันดาลใจจากภูมิอากาศและวัฒนธรรมของประเทศแถบสแกนดิเนเวีย (เดนมาร์ก สวีเดน นอร์เวย์ ฟินแลนด์ และไอซ์แลนด์) ที่มีช่วงเวลากลางวันสั้นและหนาวเย็นยาวนาน จึงเน้นการสร้างพื้นที่ที่อบอุ่น สว่างไสว และเชื่อมโยงกับธรรมชาติ


แก่นแท้ของสไตล์นอร์ดิก (Core Principles)

แสงสว่าง (Light & Brightness):

หัวใจสำคัญคือการดึงแสงธรรมชาติเข้ามาในบ้านให้มากที่สุด

ใช้โทนสีสว่าง เช่น สีขาว, ครีม, เทาอ่อน เป็นสีหลักของผนังและเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ เพื่อสะท้อนแสงและทำให้ห้องดูกว้างขึ้น

หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าม่านหนาทึบ หรือเลือกใช้ผ้าม่านโปร่งแสง


ความเรียบง่ายและฟังก์ชันการใช้งาน (Minimalism & Functionality):

"น้อยแต่มาก" (Less is More) คือคีย์เวิร์ด

ทุกชิ้นส่วนและของตกแต่งควรมีวัตถุประสงค์และใช้งานได้จริง

หลีกเลี่ยงความรกรุงรัง ของตกแต่งที่ไม่จำเป็น

เฟอร์นิเจอร์มักมีดีไซน์ที่สะอาดตา ไม่มีลวดลายซับซ้อน


วัสดุธรรมชาติ (Natural Materials):

เน้นการใช้วัสดุที่มาจากธรรมชาติ เช่น ไม้เนื้ออ่อน (ไม้เบิร์ช, ไม้แอช, ไม้สน), ขนสัตว์ (วูล), ผ้าฝ้าย, ผ้าลินิน, หนัง, เซรามิก, ดินเผา

วัสดุเหล่านี้ช่วยเพิ่มความอบอุ่นและ Texture ให้กับพื้นที่


ความอบอุ่นและสบาย (Hygge & Coziness):

"Hygge" (ฮุกกะ) คือแนวคิดของชาวเดนมาร์กที่เน้นความสุขสบาย ความอบอุ่น และการได้อยู่ร่วมกัน

สร้างบรรยากาศที่เชื้อเชิญให้พักผ่อนและรู้สึกผ่อนคลาย ด้วยแสงไฟนวลๆ, ผ้าห่มนุ่มๆ, และกลิ่นหอม

สีสัน (Color Palette):

สีหลัก: ขาว, ครีม, เทาอ่อน, เบจ

สีรอง: โทนสีพาสเทลอ่อนๆ เช่น ชมพูอ่อน, ฟ้าอ่อน, เขียวมิ้นต์

สีเน้น (Accent Colors): สีดำ (เพื่อสร้างคอนทราสต์ที่คมชัด), น้ำเงินเข้ม, เขียวเข้ม, หรือสีเทาเข้ม ที่มักใช้ในของตกแต่งชิ้นเล็กๆ หรือลวดลายกราฟิก


เคล็ดลับการเลือกของตกแต่งบ้านสไตล์นอร์ดิก

เฟอร์นิเจอร์:

ดีไซน์: เน้นเส้นสายที่สะอาดตา เรียบง่าย ไม่มีส่วนโค้งเว้ามากเกินไป

วัสดุ: เลือกเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้ออ่อน เช่น โต๊ะกาแฟไม้, เก้าอี้ทานอาหารไม้เบิร์ช หรือโซฟาผ้าสีอ่อน (เทา, เบจ, ครีม) ที่มีขาไม้

ฟังก์ชัน: พิจารณาเฟอร์นิเจอร์ที่มีฟังก์ชันซ่อนเร้น เช่น โต๊ะที่มีลิ้นชักเก็บของ, เตียงที่มีช่องเก็บของใต้เตียง เพื่อช่วยลดความรกรุงรัง


สิ่งทอ (Textiles):

ผ้าห่ม/ผ้าคลุม: เลือกผ้าห่มขนสัตว์ (Woolen Throw) หรือผ้าห่มถักไหมพรมเนื้อหนานุ่ม วางพาดบนโซฟาหรือเก้าอี้เพื่อเพิ่มความอบอุ่นและ Texture

หมอนอิง: เลือกปลอกหมอนที่ทำจากผ้าฝ้าย, ลินิน, หรือขนสัตว์เทียม ในโทนสีกลางๆ หรือมีลวดลายเรขาคณิตเรียบง่าย

พรม: ใช้พรมขนสัตว์หนานุ่ม หรือพรมทอจากวัสดุธรรมชาติในโทนสีอ่อนๆ เพื่อกำหนดพื้นที่และเพิ่มความอบอุ่นให้กับพื้น

ผ้าม่าน: ใช้ผ้าม่านโปร่งแสงสีขาว หรือสีอ่อน เพื่อให้แสงธรรมชาติเข้ามาในห้องได้เต็มที่


แสงไฟ (Lighting):

แสงธรรมชาติ: พยายามเปิดรับแสงธรรมชาติให้มากที่สุด

โคมไฟ: เลือกโคมไฟที่มีดีไซน์เรียบง่าย วัสดุธรรมชาติ (ไม้, โลหะสีอ่อน, เซรามิก) เช่น โคมไฟเพดานทรงเรขาคณิต, โคมไฟตั้งพื้นแบบ Minimalist, โคมไฟตั้งโต๊ะที่ให้แสงอบอุ่น

เทียน: เป็นองค์ประกอบสำคัญของการสร้าง "ฮุกกะ" เลือกเทียนไขหอม (Scented Candles) หรือเทียน LED ที่ให้แสงวอร์มไวท์ (Warm White)


ของตกแต่งอื่นๆ (Decor Accents):

เซรามิก/เครื่องปั้นดินเผา: แจกัน, ถ้วย, ชาม ที่มีรูปทรงเรียบง่าย สีเอิร์ธโทน หรือสีขาว/ดำด้าน

พืชพรรณและดอกไม้: ต้นไม้ในร่มที่มีใบสีเขียวสด เช่น Monstera, Fiddle Leaf Fig, Sansevieria (ลิ้นมังกร) หรือจัดดอกไม้สดเรียบง่ายในแจกันทรงสวย เพื่อเพิ่มชีวิตชีวาและความสดชื่น

งานศิลปะบนผนัง (Wall Art): เลือกภาพพิมพ์ (Prints) สไตล์ Minimalist, ภาพวาดลายเส้น (Line Art), ภาพ Abstract ในโทนสีที่กลมกลืนกับห้อง หรือภาพถ่ายขาวดำ ใส่กรอบไม้บางๆ หรือกรอบสีดำ/ขาว

กระจก: กระจกทรงกลมหรือทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ากรอบบางๆ ช่วยสะท้อนแสงและทำให้ห้องดูกว้างขึ้น

ของตกแต่งไม้: ถาดไม้, กล่องไม้, หรือของแกะสลักไม้เล็กๆ ที่แสดง Texture ของเนื้อไม้

หนังสือ: วางหนังสือปกสวยๆ หรือนิตยสารไลฟ์สไตล์จัดวางบนโต๊ะหรือชั้นวางของ


สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง:

ความรกรุงรัง: หลีกเลี่ยงการวางของเยอะเกินไป หรือของที่ไม่จำเป็น

สีเข้มทึบ: ไม่ควรใช้สีเข้มทึบเป็นสีหลักของห้องหรือเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่

ลวดลายซับซ้อน: หลีกเลี่ยงลวดลายที่เยอะเกินไป หรือลายที่ดูหรูหราอลังการ

แสงไฟสีฟ้า/เย็น: แสงไฟโทนเย็น (Cool White) ทำให้ห้องดูแข็งกระด้างและไม่เป็นธรรมชาติ

การตกแต่งบ้านสไตล์นอร์ดิกคือการสร้างพื้นที่ที่ สะอาดตา ใช้งานได้จริง อบอุ่น และเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ด้วยการเลือกใช้สี วัสดุ และของตกแต่งอย่างพิถีพิถันครับ

6
จัดฟันบางนา: ปริมาณยาสีฟันที่เหมาะสม ในแต่ละช่วงวัย!

จากการสำรวจสภาวะสุขภาพในช่องปากแห่งชาติครั้งที่ 7 ในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2555 ที่ผ่านมา ได้สถิติที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อได้พบว่า เด็กเล็กซึ่งมีอายุในช่วง 5 ปี เกิดสภาวะฟันผุถึงร้อยละ 78.5% ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวเลขที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดการตั้งคำถามตามมาว่า เพราะเหตุใด เด็กเล็ก ๆในประเทศไทย ถึงมีจำนวนฟันผุเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยได้ตั้งสมมุติฐานว่าอาจจะเป็นเพราะความเข้าใจคาดเคลื่อนของผู้ปกครองในการดูแลสุขภาพช่องปากของบุตรหลาน

ซึ่งในวันนี้จะขอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยด้านความเข้าใจของผู้ปกครองในเรื่องการใช้ปริมาณยาสีฟันให้ถูกต้อง แปรงสีฟันที่ดีที่เหมาะสม ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้บุตรหลานของท่านฟันผุได้ด้วยเช่นกัน หากใช้ปริมาณที่ไม่เหมาะสมหรือผิดวิธี โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


ลักษณะของแปรงสีฟันที่ดี ?

     ควรเป็นแปรงสีฟันหัวตรง ขนาดพอดีกับช่องปากของเด็กในแต่ละช่วงวัย ลักษณะของขนแปรงควรมีความนุ่มและมีหน้าตัดเรียบ ส่วนด้ามจับนั้นก็ควรเลือกให้มีความถนัดมือกับเด็กไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป
     แปรงสีฟันที่ดี ควรเปลี่ยนทุก ๆ 3 เดือน ตามอายุการใช้งานทั่วไปของแปรงสีฟัน หรือ เปลี่ยนทันทีหากพบว่าขนแปรงมีลักษณะบานออก
    ไม่ควรเลือกซื้อแปรงสีฟันที่มีขนแข็ง หรือมีขนต่างระดับเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้เหงือกของเด็ก ๆเกิดการร่นได้เมื่อใช้งานไปซักระยะหนึ่ง แปรงเด็กจริง ๆที่ขายในท้องตลาดจะมีความเรียบและนุ่ม เพราะ เหงือกและฟันของเด็กบอบบางกว่าผู้ใหญ่ จึงควรเลือกซื้อแปรงสำหรับเด็กโดยเฉพาะ


การเลือกยาสีฟันให้เด็กเล็ก ?

    ยาสีฟันที่จะเลือกให้กับเด็กสิ่งแรกที่ควรดูก่อนเลย คือ ยาสีฟันควรมีส่วนผสมของฟลูออไรด์ เนื่องจากว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันฟันผุได้เป็นอย่างดี ซึ่งปริมาณฟลูออไรด์ในยาสีฟันที่เหมาะสมสำหรับเด็กอายุต่ำว่า 6 ปี ควรเลือกที่มีส่วนผสมอยู่ที่ 500 ppm. เนื่องจากว่าเด็กในวัยนี้ ถ้าใช้ฟลูออไรด์ที่มีส่วนผสมมากๆ อาจจะทำให้ฟันตกกระได้ ซึ่งถ้าเป็นผู้ใหญ่ควรใช้ปริมาณที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ในยาสีฟันอยู่ที่ประมาณ 1,000-1,500 ppm.


ปริมาณยาสีฟันที่เหมาะสมในเด็กแต่ละช่วงวัย ?

สถิติฟันผุในเด็กที่มีสูงมากของประเทศไทย ถือว่าเป็นหนึ่งในเรื่องใหญ่ที่ทางด้านของ ทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ต้องทำการแก้ไข จึงได้ทำการรวบรวมแนวทางการใช้ฟลูออไรด์สำหรับเด็กในแต่ละช่วงวัย โดยได้พิจารณาจากหลักฐานทางวิชาการต่างๆที่มีอยู่ เพื่อให้เด็กไทยปลอดภัยจากโรคฟันผุ และใช้ฟลูออไรด์ได้อย่างถูกต้องได้ผลดี โดยมีดังต่อไปนี้

     เด็กเล็กในช่วงวัยที่ยังไม่มีฟันขึ้นในช่องปาก ให้ทำความสะอาดโดยการใช้ผ้าบางๆชุบน้ำเช็ดบริเวณเหงือกบนและเหงือกล่าง รวมถึงกระพุ้งแก้มและลิ้นให้สะอาดทุกครั้งหลังจากที่ดื่มนม
     เมื่อเด็กมีอายุประมาณ 6 เดือน ถึง 3 ปี เริ่มมีฟันขึ้นเต็มซี่ในช่องปาก แนะนำให้ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์เล็กน้อย คือไม่ควรเกิน 500 ppm. และให้ใช้ยาสีฟันป้ายบนแปรงของเด็กเพียงเล็กน้อย คือ พอแค่เปื้อนขนแปรงเท่านั้น และเมื่อแปรงฟันเสร็จเรียบร้อยแล้วให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเช็ดฟันและเหงือกอีกรอบหนึ่ง
    เมื่อเด็กอายุอยู่ที่ประมาณ 3 – 6 ปี ซึ่งอยู่ในช่วงวัยที่สามารถบ้วนน้ำเองได้แล้ว ให้ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว และผู้ปกครองควรช่วยบุตรหลานแปรงฟันก่อนในช่วงนี้ เนื่องจากเด็กวัยนี้จะมีความรู้สึกไม่อยากแปรงฟันทำให้แปรงฟันยังไม่สะอาดเท่าที่ควร
     สำหรับเด็กที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป ให้ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์อยู่ที่ 1,000 ppm. โดยบีบใส่แปรงสีฟันให้มีขนาดประมาณ 1-2 เซนติเมตร โดยพยายให้เด็กแปรงฟันด้วยตนเอง เพื่อเป็นการฝึกแปรงฟันของเด็กไปด้วยในตัว และเมื่อบุตรหลานแปรงเสร็จผู้ใหญ่ควรแปรงให้ซ้ำเล็กน้อยอีกครั้งหนึ่ง

นอกจากการที่ให้ลูกได้ฝึกแปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ และใช้ยาสีฟันในปริมาณที่ถูกต้องแล้ว การพาบุตรหลานไปพบทันตแพทย์เป็นประจำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมควรต้องทำด้วยเช่นกัน เพื่อป้องกันปัญหา และโรคต่างๆในช่องปากที่อาจเกิดขึ้นได้นั่นเอง

7
ฉนวนกันความร้อนช่วยลดภาระการซ่อมบำรุงได้อย่างไร

ฉนวนกันความร้อนเป็นมากกว่าแค่ตัวช่วยในการประหยัดพลังงาน แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วย ลดภาระการซ่อมบำรุง ในโรงงานหรืออาคารได้อย่างมีนัยสำคัญค่ะ โดยหลักการคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เสถียรและป้องกันการสึกหรอหรือความเสียหายที่เกิดจากปัจจัยด้านอุณหภูมิและความชื้น


1. ยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์
ลดความร้อนสะสม/โอเวอร์ฮีท: เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ทำงานภายใต้อุณหภูมิสูงเกินไปเป็นเวลานาน จะเกิดการสึกหรอของชิ้นส่วนภายในได้ง่าย ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อาจเสื่อมสภาพเร็ว น้ำมันหล่อลื่นอาจเสื่อมคุณภาพ ฉนวนกันความร้อนช่วยลดความร้อนที่แผ่ออกมาและรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสมให้กับเครื่องจักร ทำให้เครื่องจักรทำงานได้เสถียร ลดโอกาสเกิดการโอเวอร์ฮีทหรือการทำงานที่ผิดปกติ

ลดความถี่ในการซ่อมบำรุง: เมื่อเครื่องจักรทำงานในอุณหภูมิที่เหมาะสม ชิ้นส่วนต่างๆ จะมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ทำให้ไม่จำเป็นต้องซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอะไหล่บ่อยครั้ง ช่วยประหยัดทั้งค่าอะไหล่และค่าแรงช่าง


2. ป้องกันปัญหาการควบแน่น (Condensation) และการกัดกร่อน
ลดการเกิดหยดน้ำ: ในระบบปรับอากาศหรือท่อน้ำเย็นที่ไม่มีฉนวน หรือมีฉนวนที่ไม่มีคุณภาพ ผิวท่อจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดน้ำค้างของอากาศ ทำให้เกิดหยดน้ำเกาะ (Condensation) ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่

ป้องกันสนิมและการกัดกร่อน: หยดน้ำที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดความชื้นสะสม นำไปสู่การเกิดสนิมบนโครงสร้างโลหะ ท่อ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าใกล้เคียง การติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่ดี โดยเฉพาะชนิดที่ป้องกันการควบแน่นได้เยี่ยม (เช่น ฉนวนยางสังเคราะห์) จะช่วยลดปัญหานี้ได้อย่างสิ้นเชิง

ลดความเสียหายต่อโครงสร้างและวัสดุ: หยดน้ำที่หยดลงมาจากท่อหรือโครงสร้างที่เกิดการควบแน่น สามารถสร้างความเสียหายต่อฝ้าเพดาน ผนัง พื้น หรือสินค้าที่จัดเก็บอยู่ด้านล่าง ทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมความเสียหายเหล่านี้บ่อยๆ


3. ลดความเครียดของโครงสร้างอาคาร
ลดการขยายตัวและหดตัว: การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่รุนแรงและบ่อยครั้ง (Thermal Expansion and Contraction) โดยเฉพาะในโครงสร้างหลังคาและผนัง สามารถสร้างความเครียดให้กับวัสดุโครงสร้าง ทำให้เกิดรอยร้าว หรือการเคลื่อนตัวของโครงสร้างได้

ยืดอายุโครงสร้าง: ฉนวนกันความร้อนช่วยรักษาอุณหภูมิของโครงสร้างให้คงที่มากขึ้น ลดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างฉับพลัน ทำให้โครงสร้างอาคารทนทานและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ลดความจำเป็นในการซ่อมแซมโครงสร้างใหญ่ๆ


4. ลดการสะสมของเชื้อราและแบคทีเรีย
ควบคุมความชื้น: ฉนวนกันความร้อนที่ดีจะช่วยควบคุมระดับความชื้นในพื้นที่ที่ติดตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดที่เสี่ยงต่อการควบแน่น ซึ่งจะช่วยลดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา แบคทีเรีย หรือตะไคร่น้ำ

ลดการทำความสะอาด/บำรุงรักษา: เมื่อไม่มีการสะสมของเชื้อราหรือคราบสกปรกที่เกิดจากความชื้น การทำความสะอาดและบำรุงรักษาพื้นที่ก็จะน้อยลง


5. ลดความเสียหายจากสัตว์รบกวน
ฉนวนกันความร้อนบางชนิด โดยเฉพาะที่ทำจากใยหิน หรือแบบแข็ง เช่น แคลเซียมซิลิเกต มักจะไม่เป็นที่อยู่อาศัยหรือแหล่งอาหารของสัตว์รบกวน เช่น หนู แมลงสาบ ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับฉนวนและโครงสร้างโดยรวมจากสัตว์เหล่านี้


6. ลดภาระการซ่อมบำรุงระบบระบายอากาศ/ปรับอากาศ
เมื่ออาคารได้รับการป้องกันความร้อนด้วยฉนวน ระบบระบายอากาศและปรับอากาศก็ไม่จำเป็นต้องทำงานหนักเท่าเดิม

การทำงานที่ลดลงช่วยลดการสึกหรอของคอมเพรสเซอร์ มอเตอร์ และชิ้นส่วนอื่นๆ ของระบบ ทำให้ระบบมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น และลดความถี่ในการเรียกใช้บริการซ่อมบำรุง

โดยรวมแล้ว การติดตั้งฉนวนกันความร้อนคุณภาพสูงเป็นการลงทุนที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของสินทรัพย์ทั้งหมดภายในโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นอาคาร เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ต่างๆ ลดความจำเป็นในการซ่อมแซมและบำรุงรักษาอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งนำไปสู่การประหยัดต้นทุนการดำเนินงานในระยะยาวค่ะ

8
ซ่อมบำรุงอาคาร: สายดินของเครื่องทำน้ำอุ่นว่ามีความสำคัญอย่างไรบ้าง

เมื่อถึงฤดูหนาว แน่นอนว่า เครื่องทำน้ำอุ่น ถือว่าเป็นไอเทมยอดฮิตเลยก็ว่าได้ ที่ทุกบ้านแทบจะต้องมีติดห้องน้ำไว้ เพื่อความสุขสดชื่นทุกครั้งที่อาบน้ำ โดยเฉพาะในช่วงอากาศหนาว เพียงแต่การเลือกเครื่องทำน้ำอุ่นสักเครื่อง เราต้องถึงเรื่องของการใช้งานและความปลอดภัยเป็นหลัก เนื่องจากเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีผลต่อความปลอดภัยในชีวิตขณะที่ใช้งานนั่นเอง หลายคนที่เคยซื้อเครื่องทำน้ำอุ่น หรือใช้งานเครื่องทำน้ำอุ่นเป็นประจำ

คงเคยสังเกตุสติ๊กเกอร์ที่ติดมากกับตัวเครื่องที่บอกว่า อันตรายถึงชีวิตถ้าไม่ติดตั้งสายดิน โดยกฎหมายได้ออกมาบังคับให้ติดฉลากไว้บนเครื่องให้ชัดเจน เพื่อเป็นคำเตือนเบื้องต้นให้พึงระลึกเสมอว่าเราต้องติดตั้งสายดินทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งาน ซึ่งสายดินนั้น เป็นสิ่งสำคัญในแง่ของความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าภายในบ้านอย่างมาก เพราะเป็นเส้นทางนำกระแสไฟฟ้าที่รั่วไหลสู่ใต้พื้นดิน ช่วยป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าที่ไหล่เข้าสู่ตัวเราได้

ดังนั้น เครื่องทำน้ำอุ่นทุกเครื่องจะต้องทำการต่อสายดิน โดยช่างผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าสายดินในตัวเครื่องทำน้ำอุ่น และสายดินที่ต่อออกจากตัวเครื่องจะต้องไม่เล็กกว่า 2.5 sq.mm. และมาตรฐานแท่งกราวนด์ต้องมีขนาดไม่น้อยกว่า 5 หุน ปักลงไปในดินต้องไม่ต่ำกว่า 5 ฟุต ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของสายดินของเครื่องทำน้ำอุ่นว่ามีความสำคัญอย่างไรบ้าง เพื่อเป้นแนวทางให้กับที่กำลังมองหาเครื่องทำน้ำอุ่น เพื่อที่จะได้ติดตั้งและใช้งานได้อย่างถูกต้องเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง

 การต่อสายดินที่ถูกต้องคือต้องต่อกับตัวนำไฟฟ้าที่มีจุดเชื่อมถึงพื้นดิน หากเกิดท่อโลหะนั้นไม่ได้ถูกต่อลงสู่พื้นดินถือว่ามีความเสี่ยงต่อชีวิตผู้ใช้งานอย่างมากทีเดียว  สำหรับหลักวิศวกรรมไฟฟ้านั้นการต่อสายดินที่ถูกต้องเหมาะสมและสมควรทำมากที่สุดคือต่อกับระบบสายดินของอาคาร อาคารส่วนใหญ่จะมีระบบสายดินสังเกตง่ายๆจะเป็นสายสีเขียว ซึ่งสายดินของอาคารจะมีหลักดินแค่จุดเดียวเท่านั้น การติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นซึ่งเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำงานในพื้นที่ที่มีความชื้นสูงอันตรายจากไฟฟ้าจึงค่อนข้างมีมาก การเลือกใช้สายดิน
สำหรับเครื่องทำน้ำอุ่น 1 เครื่อง ขนาดเบรคเกอร์ 30 แอมป์ ใช้สายดินขนาด 2.5-4 ตารางมิลลิเมตร สำหรับประเภทแท่งทองแดงขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 5/8-1 นิ้ว ประเภทแท่งเหล็ก สแตนเลสขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 1-1 ½ นิ้ว ประเภทแท่งเหล็ก ชุบทองแดงอย่างหนาขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 5/8-1นิ้ว ขนาดความยาว 1.80 – 3.00 เมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่ สภาพความชื้นของดินอีกด้วย ประเภทท่อเหล็กที่ต่อยาวต่อเนื่อง ฝังไปตามโครงสร้างและต่อเนื่องไปใต้พื้นดินอาจนำมาเชื่อมเป็นสายดินได้

อย่างไรก็ตาม หากเราไม่มีความชำนาญในการติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่น หรือสายดิน ก็ควรเรียกช่างที่มีความเชี่ยวชาญมาติดตั้งให้จะเป็นการดีที่สุด เพราะเราจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่า มีแรงดันน้ำเพียงพอแรงดันน้ำต่ำสุดและแรงดันน้ำไม่สูงกว่า 4.0 กก./ตร. ซม. โดยวิธีวัดแรงดันน้ำ น้ำจะต้องดันออกจากปลายสายยางสูงกว่าตัวเครื่องอย่างน้อย 2.0 เมตร ให้ห่างจากตัวเครื่องพอประมาณ ที่สำคัญไม่ควรใช้สายฝักบัวที่เป็นโลหะกับเครื่องทำน้ำอุ่นเด็ดขาด

เพราะจะมีโอกาสนำไฟฟ้ากรณีไฟดูดได้ง่าย และสายฝักบัวควรอยู่ในสภาพดีไม่งอ หรือหัก และควรตรวจเช็คอุปกรณ์ป้องกันไฟดูดอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ควรมีการตรวจสอบสภาพสายไฟ และสายดินว่าไม่มีการชำรุด หรือจุดเชื่อมต่อหลุด ควรปิดเครื่องที่ปุ่ม On/Off ทุกครั้ง เมื่อไม่ใช้งาน ไม่ควรปิดเฉพาะวาล์วน้ำ เพราะอาจจะทำให้หม้อต้มเสียหายได้ และต้องตรวจสอบระบบท่อน้ำ ไม่ควรให้มีรอยรั่วซึม เพราะอาจก่อให้เกิดไฟดูดได้นั่นเอง เพราะความปลอดภัยในการใช้งาน เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด หากไม่มั่นใจควรเรียกช่างเข้ามาติดตั้งให้เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง

 ทั้งนี้ สามารถติดต่อทางเราได้ เพราะเรามีบริการติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่น รวมไปถึงบริการการจัดการน้ำต่างๆทั้งตามบ้านเรือนและอาคารสถานที่ เราเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการออกแบบและติดตั้งระบบปั๊ม ระบบสุขาภิบาล มีทีมช่างเฉพาะทางที่พร้อมจะเข้าไปดูแล บำรุงรักษา ในส่วนของการจัดการระบบน้ำประปาและระบบสุขาภิบาลได้อย่างมีคุณภาพ

9
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


10
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


11
ตรวจโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory bowel disease/IBD)

หากสงสัย ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งจะทำการตรวจวินิจฉัยและให้การรักษา

ในรายที่อาการเล็กน้อย แพทย์จะให้ยารักษาตามอาการ และแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวในเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย การคลายเครียด การไม่สูบบุหรี่ ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาอาการและลดความรุนแรงของโรค

ในรายที่เป็นรุนแรง แพทย์จะให้ยาควบคุมการอักเสบ ซึ่งมีอยู่หลายกลุ่ม อาทิ ยาต้านการอักเสบ (เช่น สเตียรอยด์, mesalazine, sulfasalazine), ยากดภูมิคุ้มกัน (เช่น azathioprine, cyclosporine, methotrexate), ยาชีววัตถุ (biologics เช่น infliximab, adalimumab, vedolizumab)

นอกจากนี้ แพทย์จะให้การรักษาตามอาการและแก้ไขภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ยาแก้ปวดลดไข้, ยาแก้ท้องเดิน (เช่น โลเพอราไมด์), ยาปฏิชีวนะ (เช่น ไซโพรฟล็อกซาซิน เมโทรไนดาโซล) ในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย, ยาบำรุงโลหิตในรายที่มีภาวะซีด, โภชนบำบัดในรายที่น้ำหนักลดมาก, การผ่าตัด (เช่น ลำไส้ทะลุ มะเร็งลำไส้ ฝีคัณฑสูตร ลำไส้มีเลือดออกมาก หรือลำไส้อักเสบรุนแรง และใช้ยารักษาไม่ได้ผล)

ผลการรักษา ส่วนใหญ่การรักษาด้วยยาเป็นการบรรเทาอาการและควบคุมการอักเสบ ซึ่งอาการมักดีขึ้นภายใน 2-4 สัปดาห์ แต่เนื่องจากโรคนี้มักเป็นเรื้อรังไม่หายขาด จึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์ก็จะทำการแก้ไขให้ปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดี

12
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


13
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ปวดกล้ามเนื้อหลัง (Back strain / Musculotendinous strain)

โรคปวดกล้ามเนื้อหลัง เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของอาการปวดหลัง พบได้ตั้งแต่วัยหนุ่มสาวเป็นต้นไป

เป็นภาวะที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง และมักจะหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์ แต่อาจเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังได้

สาเหตุ

มักเกิดจากการทำงานก้ม ๆ เงย ๆ ยกของหนัก เล่นกีฬา นั่ง ยืน นอน ก้มตัวลงหยิบของ หรือยกของในท่าที่ไม่ถูกต้อง ใส่รองเท้าส้นสูงมากเกินไป หรือนอนที่นอนนุ่มเกินไป ทำให้เกิดแรงกดตรงกล้ามเนื้อสันหลังส่วนล่าง กล้ามเนื้อบริเวณนั้นมีอาการแข็งและเกร็งตัว ทำให้เกิดอาการปวดตรงกลางหลังส่วนล่าง

คนที่อ้วน หรือหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ก็อาจมีอาการปวดหลังได้เช่นกัน

อาการ

ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตรงกลางหลังส่วนล่าง (ตรงบริเวณกระเบนเหน็บ) ซึ่งอาจเกิดขึ้นฉับพลัน หรือค่อยเป็นทีละน้อย อาการปวดอาจเป็นอยู่ตลอดเวลาหรือปวดเฉพาะในท่าบางท่า (เช่น การก้มตัว การบิดตัวเอี้ยวตัว) การไอ จาม อาจทำให้รู้สึกปวดมากขึ้น

โดยทั่วไปผู้ป่วยจะแข็งแรงดี แขนขาขยับได้เป็นปกติ ไม่มีอาการปวดร้าวลงไปที่ขาและไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย

ภาวะแทรกซ้อน

มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไร นอกจากทำให้ปวดทรมาน เคลื่อนไหวไม่สะดวก ทำงานลำบาก

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการเป็นหลัก

มักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร

บางรายอาจพบอาการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหลัง และเมื่อกดกล้ามเนื้อบริเวณนั้นจะรู้สึกเจ็บ

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. แนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตว่ามีสาเหตุจากอะไร แล้วแก้ไขเสีย เช่น ถ้าปวดหลังตอนตื่นนอน ก็อาจเกิดจากที่นอนนุ่มไปหรือนอนเตียงสปริง ก็แก้ไขโดยนอนบนที่แข็งและเรียบแทน

ถ้าปวดหลังตอนเย็น ก็มักจะเกิดจากการนั่งตัวงอตัวเอียง หรือใส่รองเท้าส้นสูง ก็พยายามนั่งให้ถูกท่า หรือเปลี่ยนเป็นรองเท้าธรรมดาแทน

ถ้าอ้วนไป ควรพยายามลดน้ำหนัก

2. ถ้ามีอาการปวดมาก ให้นอนหงายบนพื้น แล้วใช้เท้าพาดบนเก้าอี้ให้เข่างอเป็นมุมฉากสักครู่หนึ่งก็อาจทุเลาได้ หรือจะใช้ยาหม่องหรือน้ำมันระกำทานวด หรือใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบก็ได้

ถ้าไม่หายก็ให้ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล, กลุ่มยาต้านอักเสบที่ไมใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนก นาโพรเซน)

ผู้ป่วยควรนอนที่นอนแข็ง และหมั่นฝึกกายบริหารให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง

3. ถ้าเป็นเรื้อรัง หรือมีอาการปวดร้าวลงมาที่ขาหรือชาที่ขา ขาไม่มีแรง หรือน้ำหนักลด อาจเกิดจากสาเหตุอื่น อาจต้องเอกซเรย์และ/หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ (ตรวจอาการปวดหลัง)

ในกรณีที่มีอาการปวดหลังเรื้อรัง โดยตรวจไม่พบสาเหตุชัดเจน อาจมีสาเหตุจากภาวะวิตกกังวล ความเครียดหรือซึมเศร้า ถ้าผู้ป่วยมีประวัติอาการทางด้านจิตใจและอารมณ์ ก็จะให้การรักษาภาวะเหล่านี้ร่วมด้วย (ดู "โรควิตกกังวล/โรคกังวลทั่วไป" หรือ "โรคอารมณ์แปรปรวน/โรคซึมเศร้า" เพิ่มเติม)

การดูแลตนเอง

ถ้ามีอาการปวดยอกกล้ามเนื้อหลังเวลาบิดเอี้ยวตัว ก้มตัว หรือหลังตื่นนอน โดยไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    ถ้ามีอาการปวดมาก หรือขยับตัวทำให้กล้ามเนื้อหลังเกร็งตัวและปวด ควรนอนพักในท่านอนหงายบนที่นอนแข็งตลอดเวลา เวลาลุกนั่งกินอาหารและเดินเข้าห้องน้ำควรมีคนช่วยพยุงจนกว่าอาการจะทุเลา
    บริหารกล้ามเนื้อหลัง เช่น นอนหงายบนพื้น แล้วใช้เท้าพาดบนเก้าอี้ให้เข่างอเป็นมุมฉาก (ดู "ท่าบริหารขณะมีอาการปวดหลัง" ในหัวข้อ "การรักษาโดยแพทย์" ด้านบน)
    ใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบ
    ใช้ยาหม่องหรือน้ำมันระกำทานวด     
    ถ้าปวดมากกินยาแก้ปวด-พาราเซตามอล*

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการปวดร้าวแบบเสียว ๆ หรือชา ๆ มาที่ขา 1-2 ข้าง
    ขาอ่อนแรง หรือเดินลำบาก
    มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่นหรือเป็นสีแดง หรือน้ำหนักลด
    ปวดหลังรุนแรง หรือมีอาการปวดตลอดเวลาจนขยับตัวไม่ได้
    ดูแลตนเอง 2-3 วันแล้วไม่ทุเลา หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย
    มีประวัติการแพ้ยา เป็นสตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือผู้มีโรคตับ โรคไต หรือโรคประจำตัวอื่น ๆ ที่มีการใช้ยา หรือแพทย์นัดติดตามการรักษาอยู่เป็นประจำ
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวลหรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ

การป้องกัน

1. ระวังรักษาอิริยาบถ (ท่านอน ท่านั่ง ท่ายืน ท่ายกของ) ให้ถูกต้อง

2. หมั่นออกกำลังกล้ามเนื้อหลังเป็นประจำ (ดู "ท่าบริหารเพื่อป้องกันอาการปวดหลัง" ในหัวข้อ "การรักษาโดยแพทย์" ด้านบน)

3. ออกกำลังกายเป็นประจำ และบริหารร่างกายก่อนและหลังออกกำลังกาย

4. หลีกเลี่ยงการนอนบนที่นอนนุ่มเกินไป

5. หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูงมากเกินไป

6. ลดน้ำหนักถ้าน้ำหนักเกินหรืออ้วน

ข้อแนะนำ

1. อาการปวดยอกกล้ามเนื้อหลังแบบนี้เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในคนทั่วไป ทั้งในหมู่คนที่ใช้แรงงาน ยกหรือแบกของหนัก และในหมู่คนที่ทำงานนั่งโต๊ะนาน ๆ หรือมีการเคลื่อนไหวในอิริยาบถที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งบางคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นอาการของโรคไต โรคกษัย และซื้อยาชุด ยาแก้กษัย หรือยาแก้โรคไตกินอย่างผิด ๆ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดโทษได้

โดยทั่วไปอาการปวดหลังเนื่องจากกล้ามเนื้อมักจะปวดตรงกลางหลัง (บริเวณกระเบนเหน็บ) ส่วนโรคไตมักจะปวดที่สีข้าง (มักเป็นเพียงข้างเดียว) และอาจมีไข้สูง หนาวสั่น หรือปัสสาวะขุ่นหรือแดงร่วมด้วย

2. ผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลัง หากสังเกตว่ามีอาการปวดร้าวลงมาที่ขาแบบเสียว ๆ ชา ๆ ข้างหนึ่งข้างใดหรือทั้งสองข้าง ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการปวดตามประสาทขาเนื่องจากรากประสาทถูกกด

3. ผู้ที่มีอายุ 10-30 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ชาย หากมีอาการปวดหลังเรื้อรังทุกวันนานเกิน 3 เดือน ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นโรคข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง มากกว่าอาการปวดกล้ามเนื้อหลังหรือปวดยอกหลัง

14
ทำบุญไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ ริมแม่น้ำ ขอพร เสริมดวง ตามคติความเชื่อของไทย

การทำบุญไหว้พระ 9 วัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพฯ เป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสิริมงคลให้ชีวิตในด้านต่างๆ ตามคติความเชื่อของไทย การเดินทางด้วยเรือด่วนเจ้าพระยาเป็นวิธีที่สะดวกและได้บรรยากาศที่ดีเยี่ยมค่ะ

นี่คือ 9 วัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่นิยมไปไหว้พระขอพร:


วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร (วัดแจ้ง)

จุดเด่น: เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 2 และมีพระปรางค์ที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ เชื่อกันว่าการไหว้พระที่นี่จะช่วยเสริมเรื่องการงาน การเดินทาง และชีวิตที่รุ่งโรจน์

การเดินทาง: ท่าเรือวัดอรุณฯ


วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

จุดเด่น: เป็นวัดที่ประดิษฐานสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องชื่อเสียงโด่งดัง มีคนนิยมชมชอบ และเสริมวาทศิลป์ให้เป็นที่น่าฟัง

การเดินทาง: ท่าเรือวัดระฆังฯ


วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร

จุดเด่น: ประดิษฐานพระพุทธไตรรัตนนายก (หลวงพ่อโต) หรือซำปอกง ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องการเดินทางปลอดภัย มีมิตรไมตรีที่ดี และความสำเร็จในชีวิต

การเดินทาง: ท่าเรือวัดกัลยาณมิตร


วัดอรุณอมรินทร์ราชวราราม (วัดบางยี่ขัน)

จุดเด่น: เป็นวัดเก่าแก่ริมน้ำที่เงียบสงบ ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องความสงบสุขในชีวิต และความเจริญรุ่งเรือง

การเดินทาง: ท่าเรือวัดอรุณอมรินทร์


วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร

จุดเด่น: มีพระบรมธาตุมหาเจดีย์ และเขาโมกข์ (เขาเต่า) ที่สวยงาม ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องการมีสติปัญญาที่ดี และความสำเร็จในการศึกษา

การเดินทาง: ท่าเรือวัดประยูรฯ


วัดราชสิงขร

จุดเด่น: เป็นวัดเก่าแก่ที่อยู่ไม่ไกลจากเอเชียทีค ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องความมั่นคงในชีวิต และการค้าขายเจริญรุ่งเรือง

การเดินทาง: ท่าเรือวัดราชสิงขร


วัดยานนาวา

จุดเด่น: มีเอกลักษณ์คือพระเจดีย์ทรงสำเภา หรือสำเภาเจดีย์ ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องการเดินทางปลอดภัย การค้าขายรุ่งเรือง และการมีชีวิตที่ราบรื่นเหมือนการล่องเรือ

การเดินทาง: ท่าเรือสาทร (เดินต่อเล็กน้อย) หรือท่าเรือวัดยานนาวา


วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร

จุดเด่น: เป็นวัดเก่าแก่ในฝั่งธนบุรี มีจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องความเจริญก้าวหน้าในชีวิต และความร่มเย็นเป็นสุข

การเดินทาง: ท่าเรือวัดสุวรรณาราม


วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร

จุดเด่น: เป็นวัดที่สวยงามและเงียบสงบ มีพระพุทธเทวราชปฏิมากร ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องโชคลาภ อำนาจบารมี และความเจริญรุ่งเรือง

การเดินทาง: ท่าเรือเทเวศร์ (เดินต่อเล็กน้อย) หรือท่าเรือวัดเทวราชกุญชร


ข้อแนะนำสำหรับทริปไหว้พระ 9 วัดริมน้ำ:

วางแผนการเดินทาง: การเดินทางด้วยเรือด่วนเจ้าพระยาเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด ควรตรวจสอบเส้นทางและตารางเดินเรือล่วงหน้า

แต่งกายสุภาพ: ควรแต่งกายสุภาพเรียบร้อยเมื่อเข้าวัด

เตรียมอุปกรณ์กันแดด/ฝน: เนื่องจากเป็นการเดินทางกลางแจ้งและขึ้นลงเรือบ่อยครั้ง

เผื่อเวลา: การเดินทางไป 9 วัดอาจใช้เวลาเกือบทั้งวัน ควรเผื่อเวลาให้เพียงพอ

ขอให้คุณเดินทางโดยสวัสดิภาพและได้รับพรตามที่ปรารถนาค่ะ!

15
จัดฟันบางนา: หลายท่านอาจไม่ทราบ ความเป็นไปได้ “การปลูกถ่ายกระดูก” เพื่อฝังรากฟันเทียม

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การทำฟันปลอมถือได้ว่าอยู่คู่กับการรักษาทางทันตกรรมมาโดยตลอด และได้มีการวิเคราะห์ วิจัยพัฒนา การทำฟันปลอมมาอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้คนไข้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ลบจุดด้อยต่างๆที่อาจเกิดขึ้น

ซึ่งในปัจจุบันหากว่าท่านสูญเสียฟันแท้ตามธรรมชาติไป และกำลังมองหาวิธีทดแทนฟันแท้ตามธรรมชาติที่สูญเสียไป ทั้งด้านความสวยงาม และการใช้งาน ต้องขอบอกเลยว่าคงไม่มีวิธีไหนที่จะดีไปกว่าการฝังรากฟันเทียมอย่างแน่นอน หากว่าทำการฝังรากฟันเทียมสำเร็จ ผลลัพธ์ที่ได้มาถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะคุณจะไม่สามารถแยกออกเลยว่านี่ฟันจริงหรือฟันปลอม ทั้งด้านการใช้งานและความสวยงาม

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะทำการฝังรากฟันเทียมท่านต้องเข้าใจแง่มุมของการทำวิธีนี้รวมถึงการศัลยกรรมช่องปากให้ครบถ้วน เนื่องจากการฝังรากฟันเทียมนั้นการผ่าตัดคือส่วนสำคัญในวิธีการทำ ซึ่งมีเรื่องหนึ่งที่หลายๆท่านไม่เคยทราบในการฝังรากฟันเทียมว่าในบางครั้งอาจจำเป็นต้องทำการปลูกถ่ายกระดูกในการฝังรากฟันเทียมด้วย

โดยในวันนี้จะมาไขข้อสงสัยให้ท่านได้ทราบถึงหลักการปลูกถ่ายกระดูกเพื่อทำการฝังรากฟันเทียม อย่างละเอียดเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นดังต่อไปนี้

โดยปกติรากฟันเทียมจะประกอบไปด้วย ส่วนฐานโลหะที่ฝังลงไปในกระดูกขากรรไกรเพื่อทำหน้าที่แทนรากฟัน และอีกส่วนก็คือแกนยึดซึ่งจะขันติดกับฐานโลหะ และทันตแพทย์จะทำการติดตั้งตัวฟันกับหลักยึดอีกที เพียงเท่านี้ท่านก็จะได้ฟันที่สวยงามและแข็งแรงเหมือนฟันจริงตามธรรมชาติ

แต่จากข้อมูลของสมาคมทันตแพทย์ รวมถึงสมาคมศัลยแพทย์ช่องปากและใบหน้าขากรรไกร ประเทศสหรัฐอเมริกา (AAOMS) ได้พูดถึงการปลูกถ่ายกระดูก เพื่อทำการฝังรากฟันเทียมไว้ คือ หากว่าคนไข้ที่มีกระดูกขากรรไกรไม่แข็งแรง หรือ นิ่มเกินไป ก็จะทำให้กระดูกขากรรไกรไม่สามารถรองรับรากฟันเทียมได้ การผ่าตัดรากฟันเทียมก็จะไม่สามารถประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้

จึงได้มีการทดลองการปลูกถ่ายกระดูกซึ่งก็ถือได้ว่าทำให้ประสบความสำเร็จในการฝังรากฟันเทียมเป็นอย่างมาก ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่ดีตามคาดการณ์

โดยในขั้นตอนการปลูกถ่ายกระดูกนั้น ในอดีตศัลยแพทย์จะทำการตัดกระดูกบางส่วนออกจากร่างกายของคนไข้ แต่ในปัจจุบันได้มีวัสดุการปลูกถ่ายกระดูกชนิดพิเศษ ซึ่งถือว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาในปัจจุบัน หลังจากนั้นก็ทำการปลูกถ่ายกระดูกเข้าไปที่กระดูกขากรรไกร

ในการปลูกถ่ายกระดูกขากรรไกร ส่วนใหญ่จะมีด้วยกัน 2 แบบ คือ เมื่อทำการปลูกกระดูกลงในกระดูกขากรรไกรแล้วก็จะทำการรอให้กระดูกที่ปลูกถ่ายเข้าไปในขากรรไกรเข้าไปสร้างกระดูกใหม่ที่แข็งแรงพอที่จะพยุงรากฟันเทียมให้อยู่อย่างมั่นคงได้ ซึ่งจะใช้ระยะเวลาหลายเดือนพอสมควร แต่อีกรูปแบบหนึ่งจะเป็นการปลูกถ่ายกระดูกชิ้นเล็กๆ และทำการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมในทันที

ซึ่งทั้งสองรูปแบบที่กล่าวมานั้น ทันตแพทย์ และ ศัลยแพทย์ จะปรึกษาวิเคราะห์วินิจฉัยคู่กัน เพื่อเลือกว่าจะใช้แบบไหนกับคนไข้ เพราะ ขั้นตอนการปลูกถ่ายกระดูกเพื่อรอการฝังรากฟันเทียมนั้น ถือได้ว่าเป็นขั้นตอนสำคัญมากๆ เพราะถ้าหากว่าการปลูกถ่ายกระดูกลงในกระดูกขากรรไกรสำเร็จ การฝังรากฟันเทียมก็จะสามารถได้ผลสำเร็จตามไปด้วย

เมื่อทำการปลูกถ่ายกระดูกลงกระดูกขากรรไกรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็ถือว่าไม่ยากแล้ว เนื่องจากว่ากระดูกขากรรไกรที่แข็งแรงจะสามารถพยุงรากฟันเทียมได้อย่างแข็งแรงเช่นกัน ทันตแพทย์ก็จะทำการฝังรากฟันเทียม และติดตัวยึดฟันกับฟันในระยะเวลาต่อมาหลังจากที่รากฟันเทียมยึดติดกับกระดูกขากรรไกรอย่างแข็งแรงไม่เคลื่อนที่แล้ว ซึ่งระยะเวลาหลังจากฝังรากฟันเทียมอาจจะใช้เวลา 2 – 3 เดือน จึงจะใส่ที่ยึดฟัน แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ในช่วงนี้ทันตแพทย์จะนัดคนไข้ทุกเดือนเพื่อตรวจสอบความพร้อม บางท่านอาจจะใช้ระยะเวลาแค่ 1 เดือน ก็สามารถใช่ที่ยึดฟันได้แล้ว ระยะเวลานั้นขึ้นอยู่กับความแข็งแรงในการพยุงรากเทียมของขากรรไกรนั่นเอง

จากที่กล่าวมาทั้งหมด หลายท่านอาจจะคิดว่าตนเองนั้นกระดูกไม่แข็งแรงกลัวที่จะไม่สามารถทำการฝังรากฟันเทียมได้ ซึ่งแท้จริงแล้วสามารถทำได้แต่ต้องทำการปลูกถ่ายกระดูกเสียก่อนนั่นเอง

หน้า: [1] 2 3 ... 16