แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 22
1
จัดฟันบางนา: ไขข้อสงสัย “ฟันเหลือง” เป็นเรื่องธรรมชาติจริงหรือไม่ ?

เชื่อว่าหลายๆท่านไม่กล้าที่จะยิ้มหรืออ้าปากเต็มที่ในการพูดคุย ไม่ว่าจะเป็นการติดต่องาน หรือ การพูดคุยเล่นกับเพื่อนร่วมงานก็ตาม หากฟันของท่านไม่ขาวสวย แต่มีสีเหลืองหม่นหมองดูแล้วไม่น่ามอง ทำให้ท่านนั้นอาจจะเสียบุคลิกไปได้เลย

“ฟันเหลือง” หลายท่านอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ทั้งยังมีความเชื่อด้วยว่าฟันเหลืองนั้นมาจากพันธุกรรมส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น จึงมองว่า ฟันเหลืองเป็นเรื่องธรรมชาติ ซึ่งจะบอกว่าผิดซะทีเดียวก็คงไม่ใช่ จะถูกหมดก็ไม่ใช่เช่นกัน เพราะ ฟันเหลืองนั้นกว่า 90% เกิดจากพฤติกรรมของแต่ละคนนั่นเอง

ซึ่งในวันนี้จะขอพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับ ฟันเหลือง ให้มากขึ้นว่าเกิดจากพฤติกรรมใดบ้าง เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านั้น ดังต่อไปนี้


สาเหตุหลักๆที่ทำให้ฟันเหลือง หรือเปลี่ยนสี


1.    พฤติกรรมการบริโภคอาหารสีเข้ม

ต้องขอบอกเลยว่าหลายๆท่านที่ฟันเปลี่ยนสีส่วนมากจะมาจากพฤติกรรมการบริโภคเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการเปลี่ยนสีฟันจากการบริโภคจะเกิดขึ้นทีละน้อยๆจนท่านไม่ทันจะได้สังเกตเห็น

ซึ่งอาหารและเครื่องดื่มที่มีสีเข้มเหล่านี้ เช่น ชา กาแฟ เฉาก๊วย ก๋วยเตี๋ยวน้ำตก ไวน์แดง และแกงสีสันเข้มข้นต่างๆ การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้จะทำให้เกิดสีสะสมที่ฟันไปเรื่อยๆจนเปลี่ยนสีกลายเป็นสีเหลือง หรือสีเดียวกับอาหารที่บริโภคเป็นประจำ


2.    พฤติกรรมการสูบบุหรี่

หลายท่านคงทราบกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่า สารต่างๆในบุหรี่มีความเหนียวหนืดเกาะติดแน่นทนนาน และทำให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรม นอกจากสุขภาพร่างกายที่ถูกทำลายแล้ว สุขภาพช่องปากก็จะเสียหายตามไปด้วย

ซึ่งสารเคมีที่เกิดจากการเผาไหม้ของบุหรี่ โดยเฉพาะสารที่มีส่วนประกอบของกำมะถัน เป็นตัวการหลักในการทำให้ฟันเปลี่ยนสี หากเมื่อท่านทำการสูบบุหรี่สารเหล่านี้จะไปสะสมอยู่บนผิวฟัน และแทรกซึมเข้าไปในชั้นเนื้อฟัน ซึ่งสามารถทำให้ฟันเปลี่ยนสีได้อย่างรวดเร็วมาก


3.    พฤติกรรมทำลายชั้นเคลือบฟัน

ชั้นเคลือบฟัน จะมีลักษณะเป็นสีขาวใส โดยจะมีหน้าที่ในการช่วยปกป้องและปกปิดชั้นเนื้อฟันที่มีสีเหลือง ซึ่งหากว่าชั้นเคลือบฟันถูกทำลาย หรือค่อยๆบางลง ก็จะทำให้สีเหลืองของชั้นเนื้อฟันเด่นชัดขึ้นมาทำให้เห็นเป็นฟันสีเหลืองนั่นเอง

ซึ่งพฤติกรรมการทำลายชั้นเคลือบฟันก็คือ การบริโภคอาหารที่มีรสเปรี้ยว น้ำอัดลมต่างๆ เพราะมีภาวะเป็นกรดซึ่งกัดกร่อนชั้นเคลือบฟันได้ดี รวมถึงการใช้ขนแปรงที่มีความแข็งจะทำให้เกิดการขูดทำลายชั้นเคลือบฟันได้นั่นเอง


4.    อายุ

สำหรับข้อนี้ถือว่าเป็นไปตามธรรมชาติ เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ฟันก็จะเริ่มสึกกร่อนจากการใช้งาน เช่น การรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่เป็นกรดสะสม การแปรงฟันที่ผิดวิธีต่างๆเป็นระยะเวลานาน จนทำให้ฟันเริ่มเปลี่ยนสีจนกลายเป็นสีเหลือง นอกจากนี้จากการศึกษาจะพบบ่อยมากว่าในผู้สูงอายุโพรงประสาทและเส้นเลือดฝอยที่มาหล่อเลี้ยงฟันมักจะมีอาการตีบมากขึ้น ชั้นเนื้อฟันที่มีสีเหลืองจะเริ่มมีความหนาขึ้น ทำให้ฟันผู้สูงอายุจะมีสีเหลืองเข้ม และแห้งเปราะนั่นเอง


5.    ธรรมชาติของฟัน

ในฟันแต่ละซี่จะมีความหนาของชั้นเนื้อฟัน และชั้นเคลือบฟันไม่เท่ากัน เช่น ฟันเขี้ยวจะมีลักษณะเนื้อฟันที่หนากว่าเคลือบฟันจึงทำให้มีสีเหลืองมากกว่าฟันซี่ข้างเคียงที่มีชั้นเคลือบฟันที่หนากว่าชั้นเนื้อฟัน


6.    ฟันผุลึกถึงโพรงประสาท

ต้องขอบอกเลยว่าสำหรับข้อนี้ฟันเปลี่ยนสีจะรุนแรงกว่าข้ออื่นๆ เมื่อท่านมีอาการฟันผุฟันจะเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลหรือถึงขั้นเป็นสีดำ แต่หากว่ามีอาการฟันผุลึกไปถึงโพรงประสาทจนถึงขั้นทำลายโพรงประสาทฟัน เม็ดเลือดฝอยที่อยู่ในเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงประสาทฟันจะแตกกลายเป็นสีดำ


7.    ยาและความผิดปกติตั้งแต่ระยะสร้างฟัน

สำหรับข้อนี้นั้นต้องบอกว่าเป็นการควบคุมที่ยากมาก เนื่องจากว่าจะมียาปฏิชีวนะในกลุ่มเตตระไซคลิน ซึ่งมารดามักได้รับในขณะที่ตั้งครรภ์ ซึ่งยาในกลุ่มนี้จะส่งผลทำให้เด็กในครรภ์มีฟันที่เหลืองตั้งแต่ในครรภ์ ซึ่งหากว่ารับประทานยาในกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง จะทำให้บุตรในครรภ์จะมีฟันสีเหลืองเข้มไปตลอดชีวิตนั่นเอง

2
ข้อมูลโรคไขมันในเลือดผิดปกติ/ไขมันในเลือดสูง

ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ มีอยู่หลายแบบและมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน ดังนี้

    ไขมันในเลือดสูง (hyperlipidemia) หมายถึง ภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง (hypercholesterolemia) อันเนื่องมาจากแอลดีแอลคอเลสเตอรอลสูง หรือไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง (hypertriglyceridemia) หรือสูงทั้งสองอย่างร่วมกัน
    ไลโพโปรตีนในเลือดผิดปกติ (dyslipoproteinemia) หมายถึง ภาวะที่มีไลโพโปรตีนชนิดต่าง ๆ ในเลือดผิดปกติ ได้แก่ ภาวะแอลดีแอลคอเลสเตอรอลสูง หรือเรียกย่อ ๆ ว่า “แอลดีแอลสูง (high LDL cholesterol/hyperbetalipoproteinemia)”, เอชดีแอลคอเลสเตอรอลต่ำ หรือเรียกย่อ ๆ ว่า “เอชดีแอลต่ำ (low HDL cholesterol/hypoalphalipoproteinemia)”

สำหรับเกณฑ์การตัดสินภาวะไขมันผิดปกติในเลือด ดูตารางในหัวข้อ “สาเหตุ”

ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ อาจพบภาวะแอลดีแอลสูง ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง หรือเอชดีแอลต่ำ เพียงแบบใดแบบหนึ่ง หรือพบ 2-3 แบบร่วมกันก็ได้

ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) ซึ่งชักนำให้เกิดโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (peripheral artery disease /PAD) ทั้งนี้ หากพบร่วมกับปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ การสูบบุหรี่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ก็จะทำให้มีโอกาสเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งมากยิ่งขึ้น

ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ พบได้บ่อยทั้งชายและหญิง พบมากในผู้ที่มีประวัติทางกรรมพันธุ์ อ้วนหรือลงพุง ชอบกินอาหารพวกไขมันมาก ๆ หรือทำงานเบา ๆ ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย หรือผู้ที่เป็นเบาหวาน

สาเหตุ

1. เกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ โดยมีพ่อแม่พี่น้องมีภาวะไขมันในเลือดผิดปกติร่วมด้วย เรียกว่า ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติชนิดปฐมภูมิ (primary dyslipidemia) หรือชนิดครอบครัว (familial hyperlipidemia) ผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจมีรูปร่างสมส่วน หรือผอม และการควบคุมอาหารอย่างเต็มที่ก็ไม่ได้ทำให้ระดับไขมันในเลือดเป็นปกติ จำเป็นต้องใช้ยารักษา ผู้ป่วยอาจมีความผิดปกติของไขมันในเลือดหลายแบบร่วมกัน

2. ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติชนิดมีสาเหตุ หรือชนิดทุติยภูมิ (secondary dyslipidemia) มักมีสาเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมีสาเหตุร่วมกัน ดังต่อไปนี้

    การบริโภคอาหารที่ทำให้ไขมันในเลือดผิดปกติ ได้แก่ 
         - ไขมันชนิดอิ่มตัว (saturated fat) เช่น ไขมันสัตว์ เนย เนื้อแดง เนื้อที่มีมันมาก หนังสัตว์ เครื่องในสัตว์ หมูยอ กุนเชียง ไส้กรอก กะทิ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ไข่แดง อาหารทะเล (หอยนางรม กุ้ง ปู ปลาหมึก) เป็นต้น ทำให้แอลดีแอลคอเลสเตอรอลสูง
         - ไขมันทรานส์ (trans fat) ซึ่งพบในไขมันพืช (ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัว) ที่ถูกนำมาแปรรูปโดยการเติมไฮโดรเจน (hydrogenation) เข้าไปในโครงสร้างทางเคมี จนกลายเป็นไขมันอิ่มตัว ทำให้น้ำมันพืชที่แปรรูปนี้แข็งตัวและเก็บรักษาไว้ได้นาน นำมาผลิตเนยขาว (หรือเนยเทียม) มาการีน และครีมเทียม ซึ่งนิยมใช้ผสมในอาหาร ขนม (พวกเบเกอรี่ ขนมอบกรอบ อาหารทอด อาหารขบเคี้ยว) และเครื่องดื่มต่าง ๆ เช่น คุกกี้ เค้ก โดนัท พาย ข้าวโพดคั่ว เวเฟอร์ แครกเกอร์ ไก่ทอด มันฝรั่งทอด เครื่องดื่ม (ชา กาแฟ) ที่ใส่ครีมเทียม เป็นต้น นอกจากนี้ไขมันทรานส์ยังพบในอาหารที่ผ่านการทอดด้วยความร้อนสูง หรือทอดด้วยน้ำมันที่ใช้ซ้ำหลาย ๆ ครั้ง ไขมันทรานส์มีผลทำให้แอลดีแอลคอเลสเตอรอลสูง และเอชดีแอลคอเลสเตอรอลต่ำ
         - อาหารที่ให้พลังงานเกินความต้องการของร่างกาย เช่น อาหารพวกแป้ง น้ำตาล ของหวาน ผลไม้รสหวาน น้ำผลไม้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง

    ความอ้วน หรือเส้นรอบเอวเกิน (มีค่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของส่วนสูง)
    การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด
    การสูบบุหรี่ (ลดไขมันชนิดดี หรือเอชดีแอลคอเลสเตอรอล)
    การขาดการออกกำลังกาย
    โรคหรือภาวะการเจ็บป่วย เช่น เบาหวาน โรคคุชชิง ภาวะขาดไทรอยด์ โรคไตเนโฟรติก ภาวะไตวายเรื้อรัง โรคตับเรื้อรังและโรคตับที่มีภาวะอุดกั้นของทางเดินน้ำดี (obstructive liver disease) การติดเชื้อเอชไอวี เป็นต้น
    การใช้ยา เช่น ยาขับปัสสาวะ-กลุ่มไทอาไซด์ (thiazides), ยาลดความดัน-กลุ่มยาปิดกั้นบีตา, สเตียรอยด์, เอสโทรเจน (ยาเม็ดคุมกำเนิด), โพรเจสเทอโรน, ยาต้านไวรัสเอชไอวีกลุ่ม protease inhibitors, ไซโคลสปอริน เป็นต้น

อาการ

ผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง ส่วนมากจะไม่มีอาการแสดงแต่อย่างใด

มักจะตรวจพบขณะตรวจเช็กสุขภาพ หรือขณะมาพบแพทย์ด้วยโรคบางอย่าง (เช่น เบาหวาน) หรือเมื่อมีอาการของภาวะแทรกซ้อน เช่น เจ็บหน้าอก (จากหลอดเลือดหัวใจตีบ) ปวดน่องเวลาเดินมาก ๆ (จากหลอดเลือดแดงขาตีบ) อัมพาต (จากหลอดเลือดสมองตับ) เป็นต้น

ในรายที่มีภาวะไขมันสูงมาก ๆ อาจพบตุ่มหรือแผ่นเนื้อเยื่อไขมันลักษณะสีเหลืองบนผิวหนัง (เช่น บริเวณหนังตา คอ หลัง สะโพก) เรียกว่า กระเหลือง (xanthoma) ถ้าพบที่บริเวณเส้นเอ็น (เอ็นร้อยหวาย เอ็นบริเวณหลังมือ) ก็อาจทำให้เส้นเอ็นมีลักษณะหนาตัว

นอกจากนี้ อาจพบลักษณะวงแหวนสีขาว ๆ ตรงขอบกระจกตาดำ (แบบที่พบในผู้สูงอายุ) เรียกว่า เส้นขอบกระจกตาวัยชรา (arcus senilis)


ภาวะแทรกซ้อน

ที่สำคัญ คือ ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) และหลอดเลือดตีบตัน ซึ่งอาจเกิดขึ้นทั่วทุกส่วนของร่างกาย

ถ้าเกิดที่หลอดเลือดหัวใจ ทำให้เป็นโรคหัวใจขาดเลือด

ถ้าเกิดที่หลอดเลือดสมอง ทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต สมองเสื่อม

ถ้าเกิดที่หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงขา ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแดงขาตีบ มีอาการปวดน่องเวลาเดินมาก ๆ เป็นตะคริว ปลายเท้าเย็น เป็นแผลเรื้อรังที่เท้า หรือปวดขาหรือปลายเท้า

ถ้าเกิดที่หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศในผู้ชายก็ทำให้เกิดภาวะองคชาตไม่แข็งตัว

นอกจากนี้ยังพบว่า อาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแดงหลักของจอตาอุดตัน ภาวะไขมันสะสมในตับ (fatty liver)

ส่วนผู้ที่มีภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงมาก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสูงเกิน 2,000 มก./ดล.) มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากการตรวจพบระดับไขมันในเลือดสูงหรือผิดปกติ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

แพทย์จะทำการตรวจเพื่อประเมินสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยงร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอาการเมตาบอลิก* รวมทั้งภาวะแทรกซ้อน และให้การดูแลรักษา โดยแนะนำการปรับพฤติกรรม (ดู “ข้อปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยไขมันในเลือดผิดปกติ” ในหัวข้อ “ข้อแนะนำ”) และให้การรักษาโรคหรือภาวะเสี่ยงที่พบร่วม เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะน้ำหนักเกิน เป็นต้น

ในรายที่ระดับไขมันสูงในขนาดที่ยังไม่ต้องให้ยาลดไขมัน จะให้ผู้ป่วยลองปรับพฤติกรรมนาน 3-6 เดือน หากควบคุมไม่ได้ตามเป้าหมาย จึงค่อยพิจารณาให้ยาลดไขมัน

แพทย์จะให้ยารักษาภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ โดยพิจารณาถึงปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด (ได้แก่ 1. อายุ : ชายมากกว่า 45 ปี หญิงมากกว่า 55 ปี, 2. มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดก่อนวัยอันควร : ชายอายุน้อยกว่า 55 ปี หญิงอายุน้อยกว่า 65 ปี, 3. สูบบุหรี่, 4. มีโรคความดันโลหิตสูง, 5. มีเอชดีแอล/HDL < 40 มก./ดล. แต่หากมีค่าเอชดีแอล/HDL ≥ 60 มก./ดล. ให้หักลบปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวออกไป 1 ข้อ) ร่วมกับการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดใน 10 ปีด้วยการคำนวณ

ถ้ามีความเสี่ยงสูงก็จะให้ยาลดไขมันเมื่อมีระดับไขมันในเลือดต่ำกว่าผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ และกำหนดเป้าของระดับไขมันในเลือดที่ต่ำกว่าผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ

อาทิ การใช้ยาลดไขมันที่มีชื่อว่าซิมวาสแตติน (simvastatin) มีเกณฑ์ ดังนี้**

    มีปัจจัยเสี่ยง 0-1 ข้อ จะเริ่มให้ยาลดไขมันเมื่อ LDL-C ≥ 190 มก./ดล. โดยมีเป้าหมายลดให้ต่ำกว่า 160 มก./ดล.
    กรณีมีปัจจัยเสี่ยงตั้งแต่ 2 ข้อขึ้นไป ให้ประเมินความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจใน 10 ปีจากการคำนวณ ***

      - ถ้ามีความเสี่ยงต่ำกว่าร้อยละ 10 จะเริ่มให้ยาลดไขมันเมื่อ LDL-C ≥ 160 มก./ดล. โดยมีเป้าหมายลดให้ต่ำกว่า 130 มก./ดล.

      - ถ้ามีความเสี่ยงระหว่าง ร้อยละ 10-20 จะเริ่มให้ยาเมื่อ LDL-C ≥ 130 มก./ดล. โดยมีเป้าหมายลดให้ต่ำกว่า 130 มก./ดล.

      - ถ้ามีความเสี่ยงมากกว่าร้อยละ 20 จะเริ่มใช้ยาเมื่อ LDL-C ≥ 130 มก./ดล. โดยมีเป้าหมายลดให้ต่ำกว่า 100 มก./ดล.
 

    ผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือมีความเสี่ยงเทียบเท่าผู้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (ได้แก่ 1. เบาหวาน, 2. โรคหลอดเลือดสมองที่เกิดจากสมองขาดเลือด (ischemic stroke) เนื่องจากหลอดเลือดแดงที่คอมีการอุดกั้น, 3. โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย, 4. หลอดเลือดแดงใหญ่โป่ง หรือ 5. ผู้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจใน 10 ปีจากการคำนวณ***  เกินกว่าร้อยละ 20) จะเริ่มให้ยาลดไขมันเมื่อ LDL-C ≥ 130 มก./ดล. โดยมีเป้าหมายลดให้ต่ำกว่า 100 มก./ดล.
    ผู้ป่วยที่มีโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน จะเริ่มให้ยาลดไขมันเมื่อ LDL-C ≥ 100 มก./ดล. โดยมีเป้าหมายลดให้ต่ำกว่า 100 มก./ดล. กรณีมีโรคหัวใจขาดเลือดรุนแรงลดให้ต่ำกว่า 70 มก./ดล.


หลังให้ยาลดไขมัน 6-12 สัปดาห์ แพทย์จะติดตามตรวจหาระดับไขมันในเลือด และตรวจซ้ำทุก 3-6 เดือน พร้อมทั้งเฝ้าระวังผลข้างเคียงจากยา และตรวจเลือดหาระดับเอนไซม์ตับ (AST, ALT) เป็นครั้งคราว
 
*กลุ่มอาการเมตาบอลิก (metabolic syndrome) ประกอบด้วย ภาวะเสี่ยงอย่างน้อย 3 ข้อ จาก 5 ข้อต่อไปนี้
1. ความดันโลหิตช่วงบน ≥ 130 มม.ปรอท และ/หรือความดันโลหิตช่วงล่าง ≥ 85 มม.ปรอท หรือกินยารักษาความดันโลหิตสูงอยู่
2. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง (FPG) ≥ 100 มก./ดล.
3. เส้นรอบเอว ≥ 90 ซม. ในผู้ชาย หรือ ≥ 80 ซม. ในผู้หญิง
4. ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ≥ 150 มก./ดล.
5. ระดับเอชดีแอลคอเลสเตอรอลในเลือด < 40 มก./ดล. ในผู้ชาย หรือ < 50 มก./ดล. ในผู้หญิง

กลุ่มอาการเมตาบอลิก พบได้มากขึ้นตามอายุ (อายุมากกว่า 60 ปี อาจพบมากถึงร้อยละ 40) และพบในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก (ดัชนีมวลกาย ≥ 25 กก./ตร.ม. พบได้ประมาณร้อยละ 20 ≥ 30 กก./ตร.ม. พบได้มากกว่าร้อยละ 50)

ผู้ที่มีกลุ่มอาการเมตาบอลิกมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด และภาวะไขมันสะสมในตับ (fatty liver) ซึ่งอาจกลายเป็นตับอักเสบที่เรียกว่า “Non-aloholic steatohepatitis/NASH” ซึ่งในที่สุดอาจกลายเป็นตับแข็งและมะเร็งตับได้

การรักษา ปรับพฤติกรรมแบบเดียวกับโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดผิดปกติ ความดันโลหิตสูง ถ้าจำเป็นอาจต้องให้ยาควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่พบ

**ประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติเรื่อง บัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑

*** มีวิธีคำนวณได้หลายสูตร สำหรับ "ประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติเรื่อง บัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑" แนะนำให้ใช้สูตร Framingham Coronary Heart Disease Risk Score โดยคำนวณจากอายุ เพศ ประวัติการสูบบุหรี่ ค่าคอเลสเตอรอลรวม (total cholesterol) ค่าเอชดีแอลคอเลสเตอรอล (HDL) ค่าความดันโลหิตช่วงบน (systolic blood pressure) และประวัติการใช้ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง (ดูวิธีคำนวณได้ที่นี่)


การดูแลตนเอง

ผู้ที่มีภาวะอ้วน น้ำหนักเกิน สูบบุหรี่ หรือดื่มสุราจัด หรือมีพ่อแม่พี่น้องเป็นไขมันในเลือดผิดปกติ หรือมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ถ้ายังไม่เคยตรวจระดับไขมันในเลือด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจระดับไขมันในเลือด

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไขมันในเลือดผิดปกติ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ (ดู “ข้อปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยไขมันในเลือดผิดปกติ” ด้านล่าง)
    รักษา กินยาตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยากินเอง รวมทั้งการใช้สมุนไพรและน้ำสมุนไพร เพราะอาจมีผลทำให้เกิดปฏิกิริยาด้านลบกับยาลดไขมันที่แพทย์ใช้รักษาอยู่ประจำ จนอาจเกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงได้ หากจำเป็นต้องใช้ยานอกจากยาที่ใช้ประจำหรือเมื่อมีอาการไม่สบาย ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกร


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมาก หรือถ่ายปัสสาวะสีเข้มคล้ายสีน้ำปลาหรือโคล่า
    มีอาการดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะเหลืองเข้มคล้ายสีขมิ้น) อ่อนเพลีย ไข้สูง เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลด
    มีอาการอื่น ๆ ที่สงสัยว่าเกิดจากผลข้างเคียงของยาที่ใช้ เช่น ลมพิษ ผื่นคัน คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ใจสั่น เป็นต้น


ข้อปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยไขมันในเลือดผิดปกติ

1. ปรับพฤติกรรมในการบริโภคอาหาร โดยควบคุมปริมาณพลังงาน (แคลอรี่) จากไขมันเป็นร้อยละ 25-30 ของพลังงานทั้งหมด (โดยเป็นไขมันชนิดอิ่มตัวไม่เกินร้อยละ 7 ของพลังงานทั้งหมด และกินคอเลสเตอรอลไม่เกิน 200-300 มก./วัน) พลังงานจากโปรตีนเป็นร้อยละ 12-15 ของพลังงานทั้งหมด ที่เหลือร้อยละ 55-65 เป็นพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต (ทางที่ดีควรเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น เมล็ดธัญพืช) ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติดังนี้

    งดหนังสัตว์ และเครื่องในสัตว์ทุกชนิด
    ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ใหญ่ (เช่น หมู วัว) และหันมากินโปรตีนจากปลา ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง (เช่น เต้าหู้) แทนเป็นประจำ
    อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหรือกินได้เล็กน้อยเป็นครั้งคราว ได้แก่ อาหารที่มีไขมันชนิดอิ่มตัวสูง เช่น หมูสามชั้น ขาหมู น้ำแกงต้มกระดูกหรือเนื้อสัตว์ ข้าวมันไก่ เป็ดย่าง แหนม แฮม หมูยอ กุนเชียง ไส้กรอก กะทิ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ไข่แดง อาหารทะเล (หอยนางรม กุ้ง ปู ปลาหมึก)
    ถ้านิยมดื่มนม ควรใช้นมพร่องมันเนย
    บริโภคน้ำมันถั่วเหลือง วันละ 1.5-2.5 ช้อนโต๊ะ โดยใช้น้ำมันชนิดนี้ปรุงอาหารที่บ้าน เพราะจะมีไขมันชนิดไม่อิ่มตัวหลายชนิดที่ช่วยลดระดับแอลดีแอลคอเลสเตอรอลในเลือด
    หลีกเลี่ยงการกินของทอดด้วยน้ำมันพืชซ้ำหลาย ๆ ครั้ง (เช่น มันฝรั่งทอด ปาท่องโก๋ เปาะเปี๊ยะ ทอดมัน) รวมทั้งอาหาร ขนม และเครื่องดื่มที่มีไขมันทรานส์ เช่น  เบเกอรี่ มาการีน เนยขาว (เนยเทียม) ครีมเทียม ขนมอบกรอบ เป็นต้น
    กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ ทุกมื้อ รวมทั้งเมล็ดธัญพืช (เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโพด ถั่วต่าง ๆ) ซึ่งมีเส้นใย (fiber) ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด แต่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้รสหวานจัด เช่น ทุเรียน เงาะ ลำไย
    กินรำข้าวโอ๊ต เมล็ดแมงลัก หรือสารเพิ่มกากใย
    กินกระเทียมสดวันละ 1-2 หัวใหญ่ (สับโรยกินกับข้าว หรือผสมในน้ำจิ้มก็ได้) มีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
    ควรลดการบริโภคน้ำตาลและของหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่มีไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง

2. ออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น วิ่งเหยาะ เดินเร็ว ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ อย่างน้อยครั้งละ 30-45 นาที สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง หรือวันเว้นวัน จะช่วยเพิ่มเอชดีแอลคอเลสเตอรอล ลดไตรกลีเซอไรด์และแอลดีแอลคอเลสเตอรอล

3. ถ้ามีภาวะน้ำหนักเกินให้ลดน้ำหนักตัว

4. งดสูบบุหรี่

5. งดหรือลดดื่มแอลกอฮอล์ ในรายที่มีไตรกลีเซอไรด์สูง ควรงดโดยเด็ดขาด

6. หาวิธีคลายเครียดด้วยการออกกำลังกาย ฝึกสมาธิ สวดมนต์ ทำงานอดิเรก เป็นต้น ความเครียดเป็นปัจจัยเสริมทำให้ไขมันในเลือดสูงในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง

7. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้ไขมันในเลือดสูง เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาปิดกั้นบีตา ยาเม็ดคุมกำเนิด สเตียรอยด์ เป็นต้น หากจำเป็น ควรให้แพทย์พิจารณา


การป้องกัน

    ลดการกินอาหารพวกไขมันชนิดอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง และงดกินไขมันทรานส์
    ลดการกินน้ำตาล ของหวาน ผลไม้รสหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม
    กินผักผลไม้และเมล็ดธัญพืชให้มาก ๆ
    ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ลดน้ำหนักถ้าอ้วนหรือมีภาวะน้ำหนักเกิน
    หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จัด
    ไม่สูบบุหรี่
    ออกกำลังกายเป็นประจำ


ข้อแนะนำ

1. ไขมันในเลือดผิดปกติ (dyslipidemia) ที่สำคัญมีอยู่ 3 แบบ ได้แก่ (1) ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง (2) แอลดีแอลคอเลสเตอรอล (ไขมันชนิดร้าย) สูง (3) เอชดีแอลคอเลสเตอรอล (ไขมันชนิดดี) ต่ำ

คำว่า "ไขมันในเลือดสูง (hyperlipidemia)" ทางแพทย์นั้นหมายถึงแบบที่ (1) และ (2) เท่านั้น ไม่ได้หมายรวมถึงแบบที่ (3) เนื่องเพราะเอชดีแอลคอเลสเตอรอล (ไขมันชนิดดี) สูงนั้นมีผลดีต่อสุขภาพ ซึ่งตรงกันข้ามกับเอชดีแอลคอเลสเตอรอลต่ำ ซึ่งถือว่าผิดปกติ เพราะมีผลเสียต่อสุขภาพ

แต่เนื่องจากโดยทั่วไปพบแบบที่ (1) และ (2) บ่อย จึงนิยมใช้คำว่า "ไขมันในเลือดสูง" จนคุ้นปาก และเป็นที่เข้าใจกันว่า "ไขมันในเลือดสูง" มีความหมายเดียวกับ "ไขมันในเลือดผิดปกติ" ซึ่งหมายรวมถึงความผิดปกติทั้ง 3 แบบ

ดังนั้น เมื่อตรวจพบว่ามี "ไขมันในเลือดสูง" ต้องแยกแยะให้ออกว่า เป็นไขมันในเลือดผิดปกติแบบใด เป็นชนิดไม่ดี (แอลดีแอลคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอร์ไรด์) ที่สูง หรือ ชนิดดี (เอชดีแอลคอเลสเตอรอล) ที่ต่ำ หากไขมันชนิดดีสูง ไม่นับว่าเป็นโรคไขมันในเลือดสูงหรือผิดปกติ

2. เนื่องจากภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ มักไม่มีอาการแสดงเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่ามีสุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี ก็ควรตรวจเช็กไขมันในเลือดตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไปทุก 5 ปี

ในการตรวจเช็กไขมันในเลือด ควรอดอาหาร (ยกเว้นน้ำเปล่า) อย่างน้อย 12 ชั่วโมง และในระยะ 3 สัปดาห์ก่อนตรวจ ควรมีน้ำหนักตัวคงที่ บริโภคอาหาร เครื่องดื่ม และทำกิจวัตรประจำวันตามปกติที่เคยทำ ทั้งนี้จะได้พบว่า พฤติกรรมที่เป็นนิสัยปกตินั้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับไขมันในเลือดหรือยัง

ถ้าผลเลือดปกติ สำหรับกลุ่มเสี่ยงควรตรวจซ้ำทุก 1-3 ปี ส่วนผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงควรตรวจทุก 5 ปี

3. แม้ว่าผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน จะมีความเสี่ยงสูงต่อการมีภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ แต่ผู้ที่มีน้ำหนักตัวปกติหรือผอม หากมีปัจจัยเสี่ยงก็อาจมีภาวะดังกล่าวได้ หากไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมการบริโภค ก็อาจเกี่ยวเนื่องกับความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีระดับไขมันในเลือดสูงมาก

4. ผู้ที่มีไขมันในเลือดผิดปกติ ควรได้รับการรักษาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อควบคุมระดับไขมันให้ได้ตามเป้าหมาย รวมทั้งควบคุมปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอาการเมตาบอลิก) ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

5. การรักษาโรคนี้จำเป็นต้องอาศัยการปรับพฤติกรรมเป็นพื้นฐาน หากไม่ได้ผลก็ควรใช้ยาลดไขมันควบคู่กันไป โดยแพทย์จะทำการเลือกใช้ยาและปรับขนาดของยาให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย

โดยทั่วไปแพทย์จะใช้ยาลดไขมันกลุ่มสแตติน (ได้แก่ ซิมวาสแตติน) เป็นอันดับแรก ถ้ามีผลข้างเคียงหรือไม่ได้ผล แพทย์จะเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่นในกลุ่มสแตติน (เช่น อะทอร์วาสแตติน) และ/หรือเพิ่มยาลดไขมันกลุ่มอื่น (เช่น กรดนิโคตินิก, คอเลสไทรามีน, ยากลุ่มไฟเบรต เป็นต้น )

6. ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของยากลุ่มสแตติน ได้แก่ อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือกล้ามเนื้ออักเสบ หรือมีระดับเอนไซม์ตับในเลือดสูง (ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นตับอักเสบ) 

ที่ร้ายแรง คือ ถ้าใช้ร่วมกับยาอื่น อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้ออักเสบ อาจรุนแรงถึงขั้นเกิดภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย (rhabdomyolysis มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อรุนแรง และปัสสาวะเป็นสีน้ำปลาหรือโคล่า) ซึ่งทำให้ไตวายเฉียบพลัน เป็นภาวะอันตรายร้ายแรงได้ 

การใช้ยาซิมวาสแตตินจึงมีข้อห้ามใช้ร่วมกับยาบางชนิด เช่น ยาลดไขมัน-เจมไฟโบรซิล (gemfibrocil), อีริโทรไมซิน, คลาริโทรไมซิน, ไอทราโคนาโซล, คีโทโคนาโซล, ไซโคสปอริน, ยาต้านไวรัสกลุ่ม protease inhibitors เป็นต้น


3
การทำอาชีพเสริม ขายอาหารผัดกะเพราไก่บ้านรสชาติจัดจ้านถึงใจ

ผัดกะเพราไก่บ้านหรือไก่บ้านผัดกะเพราถือเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ กะเพราไก่บ้านเป็นอาหารหลักในอาหารตามสั่งของไทย ซึ่งคุณสามารถหาซื้อได้ตามร้านอาหาร ร้านอาหารเล็กๆและตลาดท้องถิ่นมากมายทั่วประเทศ ผัดกะเพราไก่บ้านคืออาหารจานด่วนที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการอาหารจานด่วนที่ทำได้ง่ายและรสชาติจัดจ้านถึงใจ

อะไรที่ทำให้ผัดกะเพราไก่บ้านพิเศษ?
ไก่บ้าน แตกต่างจากไก่ทั่วไปตรงที่เนื้อไก่แน่นกว่าและรสชาติเข้มข้นกว่า เนื้อไก่จะเหนียวกว่าเล็กน้อยแต่มีกลิ่นหอมกว่า ทำให้เมนูนี้อร่อยยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อผัดกับกระเทียม พริกสด น้ำปลาและซีอิ๊วขาว ไก่จะซึมซับเครื่องปรุงได้ดีเยี่ยม ทำให้เกิดรสชาติเผ็ด เค็มและหอมที่สมดุลกัน

บทบาทของโหระพา
จุดเด่นของผัดกะเพราคือใบกะเพรา (หรือที่คนไทยเรียกว่าใบกะเพรา ) กะเพรามีกลิ่นหอมของพริกไทยและเผ็ดเล็กน้อย ต่างจากกะเพราหวาน ช่วยเพิ่มรสชาติที่โดดเด่นของจานนี้ หากไม่มีกะเพรา ผัดกะเพราก็คงจะไม่เหมือนเดิม

อาหารตามสั่งสุดโปรด
ในประเทศไทย ร้าน อะฮานตามซางให้ลูกค้าสั่งอาหารได้รวดเร็ว ราคาไม่แพง ปรุงสดใหม่ทันที และผัดกะเพราก็มักจะอยู่ในเมนูเสมอ มักเสิร์ฟพร้อมข้าวหอมมะลินึ่ง โปะหน้าด้วยไข่ดาวกรอบ การผสมผสานนี้ถือเป็นอาหารจานเดียวที่สมบูรณ์แบบ รวดเร็ว อิ่มท้องและรสชาติเข้มข้น


ส่วนประกอบ
เนื้อไก่บ้าน: ควรเลือกใช้ส่วนเนื้อสะโพกหรืออกก็ได้ ตามความชอบ
พริกและกระเทียม: ใช้พริกขี้หนูสดและกระเทียมไทย ซึ่งช่วยเพิ่มรสชาติที่เผ็ดร้อนและกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์
ใบกะเพรา: ใช้ใบกะเพราสดที่เด็ดใหม่ ๆ เพราะจะให้กลิ่นหอมที่แรงกว่า
ซอสปรุงรส: น้ำมันหอย, ซีอิ๊วขาว, น้ำตาล และน้ำปลา
น้ำมันพืช: ใช้สำหรับผัด


วิธีทำ
เตรียมส่วนผสม: ล้างไก่ให้สะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ จากนั้นโขลกพริกกับกระเทียมรวมกันให้ละเอียด
ผัดพริกและกระเทียม: ตั้งกระทะใส่น้ำมันให้ร้อน นำพริกและกระเทียมที่โขลกไว้ลงไปผัดจนหอม
ใส่เนื้อไก่: ใส่เนื้อไก่ลงไปผัดจนสุก
ปรุงรส: ปรุงรสด้วยซอสน้ำมันหอย, ซีอิ๊วขาว, น้ำตาล และน้ำปลาตามชอบ
ใส่ใบกะเพรา: ใส่ใบกะเพราลงไปเป็นอย่างสุดท้าย จากนั้นผัดให้เข้ากันประมาณ 1-2 นาที แล้วปิดไฟทันที
เสิร์ฟ: ตักผัดกะเพราไก่บ้านใส่จาน แล้วเสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อน ๆ


ทำไมคนท้องถิ่นถึงชอบมัน
รวดเร็วและสะดวกสบาย : พร้อมในเวลาเพียงไม่กี่นาที
ปรับแต่งได้ : เลือกโปรตีน ระดับเครื่องเทศ และส่วนเสริม
สบายใจ : รสชาติคุ้นเคยที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง

ผัดกะเพราไก่บ้านสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความชอบ เช่น เพิ่มไข่ดาวหรือเลือกใช้เนื้อสัตว์อื่น ๆ แทนไก่ได้ เช่น หมู, เนื้อวัวหรือทะเล ผัดกะเพราไก่บ้านไม่ได้เป็นแค่อาหารธรรมดาๆ แต่มันคือภาพสะท้อนของวัฒนธรรมอาหารของไทย ที่วัตถุดิบสดใหม่ รสชาติจัดจ้าน และความสะดวกสบายมาบรรจบกัน ไม่ว่าจะทานที่ร้านริมทางหรือร้านอาหารท้องถิ่น อาหารจานเล็กๆ จานนี้ก็ยังคงครองใจใครหลายคนในฐานะหนึ่งในอาหารตามสั่งยอดนิยมของคนไทย


4
อยากขนย้ายสบายใจ ต้องใส่ใจตอนวางแผน กับ รถรับจ้างภูเก็ต

เมื่อต้องการขนย้ายย้ายบ้าน หรือ ย้ายหอพัก ย้ายคอนโด หรือแม้กระทั่งการย้ายสำนักงาน ล้วนเป็นช่วงเวลาที่หลายคนรู้สึกทั้งตื่นเต้นและกังวลไปพร้อม ๆ กัน ตื่นเต้นเพราะเป็นการเริ่มต้นใหม่ในสถานที่ใหม่ แต่ก็มักจะกังวลเรื่องการขนของว่าจะเรียบร้อยหรือไม่ ของจะเสียหายไหม และการจัดการจะยุ่งยากแค่ไหน หลายครั้งที่ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้มาจากการขนย้ายอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นเพราะการวางแผนไม่รอบคอบ

ดังนั้น อย่ามัวแต่ตื่นตระหนกอยู่เลย หากใครอยากขนย้ายสบายใจ ลดความวุ่นวาย ต้องใส่ใจตั้งแต่ตอนวางแผน และยิ่งถ้ามีทีมงานมืออาชีพอย่าง รถรับจ้างภูเก็ต เข้ามาช่วยจัดการ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นเยอะค่ะ
วางแผนการขนย้าย สำคัญกว่าที่คิด

หลายคนอาจมองว่าการ ขนย้ายของ ก็แค่แพ็กของแล้วเรียกรถ แต่จริง ๆ แล้วการย้ายที่อยู่อย่างสบายใจ ต้องเริ่มจาก การวางแผนล่วงหน้าอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดวันเวลา การจัดลำดับความสำคัญของสิ่งของ ไปจนถึงการเลือกทีมงานรับจ้างที่เชื่อถือได้ ซึ่งถ้าวางแผนไม่ดี คุณอาจพบกับปัญหาเหล่านี้ได้ค่ะ

    ของบางชิ้นลืมเก็บ ทำให้ต้องย้อนกลับมาหยิบอีก
    เลือกรถไม่เหมาะสม ขนาดเล็กเกินไปจนต้องวิ่งหลายรอบ
    ขนของผิดลำดับ ของหนักทับของเบา ทำให้ของเสียหาย
    เวลาขนย้ายไม่ตรงกับตาราง ทำให้เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่ม

เมื่อมองเห็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เราก็จะเข้าใจว่าทำไมการวางแผนจึงเป็นหัวใจสำคัญของการย้ายของ


ขั้นตอนวางแผนง่าย ๆ เพื่อขนย้ายสบายใจ

    กำหนดวันและเวลาแน่นอน – เลือกวันที่สะดวกที่สุด และควรเว้นระยะให้มีเวลาจัดการล่วงหน้า อย่ารอจนถึงวันสุดท้าย
    สำรวจสิ่งของทั้งหมด – ทำรายการว่าเรามีของอะไรบ้าง ขนาดเท่าไร ของชิ้นไหนควรแพ็กก่อน ของชิ้นไหนต้องใช้จนถึงวันสุดท้าย
    คัดแยกและจัดลำดับ – สิ่งของที่ไม่ใช้แล้วควรขายต่อหรือบริจาค เพื่อลดภาระการขนย้าย ส่วนของที่จำเป็นต้องใช้อย่าลืมจัดหมวดหมู่ชัดเจน
    เตรียมอุปกรณ์แพ็กกิ้งให้พร้อม – กล่อง กระดาษกาว พลาสติกกันกระแทก เชือก และปากกาเขียนป้าย เพื่อให้ทุกอย่างเป็นระบบ
    เลือกผู้ช่วยขนย้ายที่ไว้ใจได้ – การเลือกทีมงานมืออาชีพคือสิ่งสำคัญที่สุด เพราะต่อให้เราวางแผนดีแค่ไหน หากรถไม่พร้อมหรือทีมงานไม่มีประสบการณ์ ก็อาจเกิดปัญหาได้


ทำไมต้อง รถรับจ้างภูเก็ต

การวางแผนจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีผู้ช่วยที่ไว้ใจได้เข้ามาดูแล รถรับจ้างภูเก็ต และนี่คือเหตุผลที่หลายคนในภูเก็ตเลือกใช้บริการขนส่ง

    มีรถหลากหลายขนาด ไม่ว่าจะเป็น รถกระบะ รถหกล้อ หรือรถขนาดใหญ่ เลือกให้เหมาะกับปริมาณของ ไม่ต้องเสียเงินจ้างเกินความจำเป็น
    ทีมงานมืออาชีพ ที่คุ้นเคยกับการยก ขน และจัดเรียงอย่างปลอดภัย รู้ว่าของแบบไหนต้องจัดวางตรงไหน ไม่ทับกัน ไม่เสียหาย
    บริการรวดเร็ว ตรงเวลา เข้าใจว่าลูกค้าทุกคนมีเวลาจำกัด การมาสายหรือเลื่อนเวลาไม่ใช่สิ่งที่ควรเกิดขึ้นกับงานขนย้าย
    ราคาคุ้มค่า ชัดเจน ไม่มีการบวกราคาแอบแฝง ลูกค้ารู้ราคาก่อนตัดสินใจสบายใจได้
    ดูแลเหมือนของตัวเอง ของทุกชิ้นถูกใส่ใจและระมัดระวัง เพราะทีมงานเข้าใจว่าทุกสิ่งมีคุณค่าทั้งในด้านราคาและความทรงจำ

เคล็ดลับเล็ก ๆ ที่ช่วยให้ย้ายง่ายขึ้น

    จัดกระเป๋าของใช้ส่วนตัว เช่น เสื้อผ้า เครื่องใช้จำเป็น แยกไว้ต่างหาก เผื่อต้องใช้ทันทีที่ถึงที่ใหม่
    เขียนป้ายบนกล่องให้ชัดเจน เช่น “ครัว” “เสื้อผ้า” “หนังสือ” จะช่วยประหยัดเวลาในการจัดเรียง
    เก็บของมีค่าหรือเอกสารสำคัญติดตัวไว้ ไม่ปะปนไปกับกล่องอื่น
    ปรึกษากับทีมงานล่วงหน้า บอกว่ามีของพิเศษ เช่น ตู้ปลา เครื่องดนตรี หรือเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ เพื่อให้เตรียมอุปกรณ์รองรับ

การขนย้ายไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากคุณให้ความสำคัญกับ “การวางแผน” เพราะการวางแผนที่ดีจะช่วยให้ทุกอย่างราบรื่น ลดความเครียด และทำให้การเริ่มต้นใหม่เป็นไปอย่างสบายใจ และเมื่อจับคู่กับบริการที่ไว้ใจได้อย่าง รถรับจ้างภูเก็ต คุณก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความยุ่งยากอีกต่อไป

ย้ายบ้าน ย้ายหอ ย้ายคอนโด หรือย้ายสำนักงาน ไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่ ถ้าอยากให้การขนย้ายเต็มไปด้วยความมั่นใจและความสบายใจ คำตอบที่ใช่คือ ใส่ใจการวางแผน และเลือกใช้บริการมืออาชีพ รถรับจ้างภูเก็ต แล้วคุณจะพบว่าการย้ายที่อยู่ใหม่ ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลยค่ะ

5
บริการทำความสะอาด: กำจัดคราบสกปรกบนพรมให้หายเกลี้ยง

ในเรื่องของความสะอาดภายในบ้าน ถือว่าเป็นเรื่องที่แม่บ้านหลายคนอาจจะเป็นกังวลใจ เพราะเมื่อทำความสะอาดไปแล้ว สุดท้ายบ้านของเราก็จะกลับมาสกปรกอีก แต่อย่างไรก็ตาม บ้านของเราก็จำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้เกิดฝุ่นสะสมจนทำให้เกิดปัญหาสุขภาพของคนในบ้าน เชื่อว่า หลายคนอยากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี บรรยากาศที่สดชื่น หายใจได้อย่างสะดวกและรู้สึกดี ดังนั้น ในบ้านเราจะต้องมีความสะอาดมาเป็นอันดับแรก หลายบ้านใช้เวลาร่วมกันอยู่ในห้องรับแขก

ซึ่งเป็นมุมโปรดของใครหลายๆคน ซึ่งในห้องรับแขกของบ้านเราก็จะต้องมีความสะอาดอยู่เสมอ เพื่อใช้ต้อนรับแขก สิ่งที่อยู่ภายในห้องก็ต้องมีความสะอาด ปราศจากฝุ่นหรือครายสกปรกด้วย เช่น พรมในห้องรับแขก เป็นสิ่งที่ใช้ตั้งเพื่อความสวยงาม ทำให้บรรยากาศภายในดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน พรมก็ยังเป็นแหล่งสะสมของฝุ่นและเชื้อโรคด้วย หรือบางครั้งที่เราเผลอทำน้ำหกบนพรม มันก็จะทิ้งคราบไว้อย่างชัดเจน และยิ่งนานวัน คราบก็จะยิ่งชัดขึ้น ทำให้ไม่สวย ไม่น่ามอง ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการกำจัดคราบสกปรกบนพรมให้กลับมาสะอาดเอี่ยมอีกครั้ง เพื่อให้บ้านของเราน่าอยู่มากยิ่งขึ้น และยังช่วยกำจัดฝุ่นที่อยู่ในพรมได้อีกด้วย เพื่อเป็นแนวทางให้กับแม่บ้านหลายคนที่กำลังหนักใจกับการทำความสะอาดพรมด้วย

สำหรับปัญหาพรมเลอะเทอะ พรมสกปรกที่ไม่สามารถซักเองได้หรือถ้าจะต้องซักทำความสะอาดพรมมันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ แต่มันก็มีเคล็ดลับที่จะช่วยทำความสะอาดพรมให้กลับมาสวยเหมือนใหม่อีกครั้ง แต่ก็ต้องดูด้วยว่า คราบที่ติดอยู่บนพรมนั้น เป็นคราบอะไรเกิดจากอะไร เพื่อที่จะได้ทำความสะอาดได้อย่างถูกต้องด้วย


ปัญหาหมากฝรั่งติดพรม

ก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะเราสามารถใช้ไดร์เป่าผมและพลาสติกห่ออาหารมากำจัดคราบหมากฝรั่งออกได้ โดยนำไดร์เป่าผม มาเป่าด้วยลมอุ่นเพื่อให้หมากฝรั่งอ่อนตัว จากนั้นก็ใช้พลาสติกห่ออาหารหยิบออก แต่ถ้าหากยังเหลือคราบเหนียวๆ เกาะอยู่ ก็ใช้น้ำยาทำความสะอาดพรมกำจัดอีกรอบและเช็ดด้วยผ้าสะอาดอีกครั้ง ตามด้วยเป่าให้แห้งก็เรียบร้อยแล้ว


คราบสนิม

ซึ่งอาจจะมาจากขาโต๊ะหรือตู้ที่เราตั้งไว้นานๆ พอขยับหรือเลื่อน ก็อาจมีคราบสนิมเกิดขึ้น ซึ่งวิธีกำจัดคราบสนิมเพียงบีบน้ำมะนาวลงไปบนคราบแล้วรอประมาณ 5 นาที จากนั้นใช้ผ้าเนื้อหนาเช็ดออกแล้วเทน้ำส้มสายชูลงไปทิ้งไว้ประมาณ 45 นาที แล้วเช็ดออกและใช้น้ำสบู่ถูบริเวณที่ทำความสะอาด แล้วค่อยๆ ใช้ผ้าสะอาดซับน้ำเปล่า มาถูบริเวณที่ทำความสะอาดอีกครั้ง เพียงเท่านี้พรมก็จะกลับมาสะอาดเหมือนเดิมแล้ว


คราบอาหาร

ก็สามารถทำได้ เพราะเชื่อว่าหลายบ้านที่ปูพรมในห้องนั่งเล่นหรือห้องรับประทานอาหารนั้น คงยากที่จะหลีกเลี่ยงคราบอาหารไม่ว่าจะน้ำแกง ของหวานหรือน้ำผลไม้ ที่อาจทำให้เกิดคราบบนพรมได้ทั้งนั้น ซึ่งวิธีทำความสะอาดนั้นง่ายมากเพียงโรยเกลือหรือผงซักฟอกลงบนคราบแล้วทิ้งไว้สักพักเพื่อรอให้คราบถูกดูดซับ จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำสบู่มาเช็ดทำความสะอาดจนพื้นพรมไม่เหลือคราบของผงซักฟอกหรือเกลือเพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย


คราบกาแฟ ช็อกโกแลต ไวน์ หรือคราบเลือด

อันดับแรกควรรีบซับออกโดยด่วน โดยห้ามเช็ดหรือถูให้คราบกระจายตัว จากนั้นนำน้ำส้มสายชูผสมกับน้ำเปล่าในอัตราส่วน 1:2 ฉีดหรือพรมลงบนคราบและค่อยๆ ซับออกอีกครั้ง ก็จะช่วยให้คราบเริ่มจางลงได้ แต่อาจจะต้องทำโดยทันทีไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะไม่งั้นอาจจะกำจัดออกได้ยาก ทั้งหมดนี้ก็คือ เคล็ดลับที่จะช่วยทำให้พรมกลับมาใหม่เหมือนเดิม โดยไม่ต้องออกแรงซักให้เหนื่อยเลย เบาแรงแม่บ้านไปได้เยอะเลยทีเดียว

ดังนั้นงเราจึงเน้นย้ำมาตลอดว่า ในเรื่องของความสะอาดภายในบ้านเป็นสิ่งที่สำคัญและดีต่อสุขภาพของคนในบ้าน โดยทางเรามีบริการรักษาสิ่งแวดล้อมในสถานที่ทำงานให้สะอาด สะดวก และถูกสุขลักษณะ มีการพัฒนารูปแบบการทำความสะอาดให้เหมาะสมกับธุรกิจที่หลากหลายของลูกค้า ตรงเป้าหมาย เพราะเราให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้ ความ สามารถ และมีทัศนคติที่ดีในการทำงานเพื่อที่จะส่งมอบบริการต่าง ๆให้กับ ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

6
หมอออนไลน์: วัณโรคปอด (Pulmonary Tuberculosis)

วัณโรคปอด (Pulmonary Tuberculosis) เป็นโรคที่หลายคนเคยได้ยิน แต่ยังเข้าใจไม่หมด
ต่อไปนี้คือสรุปและสคริปต์พูดแบบเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับใช้ในคลิปอธิบายสั้น ๆ, รายการสุขภาพ, หรือคอนเทนต์ให้ความรู้ทั่วไปค่ะ


🎙️ สคริปต์พูด: วัณโรคปอดคืออะไร? อันตรายแค่ไหน?

“วัณโรคปอด” หรือที่คนโบราณเรียกว่า “ทีบี” เป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อว่า Mycobacterium tuberculosis

เชื้อนี้มักจะโจมตี “ปอด” แต่จริง ๆ แล้วมันสามารถแพร่ไปยังส่วนอื่นของร่างกายได้ เช่น กระดูก ต่อมน้ำเหลือง หรือสมอง

วัณโรคปอดติดต่อผ่าน “ทางเดินหายใจ”
เวลาผู้ป่วยไอ จาม หรือพูดแรง ๆ เชื้อจะกระจายออกมาในอากาศเป็นละอองฝอยเล็ก ๆ
ถ้าใครสูดเข้าไป ก็มีโอกาสติดเชื้อได้เลย


แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ติดเชื้อจะป่วยนะ!
เพราะร่างกายบางคนมีภูมิคุ้มกันแข็งแรง ก็สามารถ “กดเชื้อไว้ได้”
เรียกว่า “ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ” (latent TB)
ส่วนคนที่ภูมิคุ้มกันอ่อน — เช่น พักผ่อนน้อย เครียด หรือป่วยจากโรคอื่น — เชื้อจะเริ่มทำงานและกลายเป็น “วัณโรคปอดระยะที่แสดงอาการ”


อาการที่ควรสังเกต

ไอนานเกิน 2 สัปดาห์

มีเสมหะปนเลือด

เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก

น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

มีไข้ตอนบ่าย ๆ เหงื่อออกกลางคืน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย

ถ้ามีอาการเหล่านี้...อย่านิ่งนอนใจค่ะ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเอกซเรย์ปอด หรือเก็บเสมหะตรวจหาเชื้อ


การรักษา

วัณโรค “รักษาหายได้” ถ้าได้รับยาครบและต่อเนื่อง
แพทย์จะให้ยาต้านวัณโรคหลายตัวร่วมกัน — ใช้เวลารักษาประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ต้องกินยาให้ครบ”
เพราะถ้าหยุดกลางคัน เชื้อจะดื้อยา และรักษายากกว่าเดิมมาก ⚠️


วิธีป้องกัน

หมั่นตรวจสุขภาพ โดยเฉพาะถ้าอยู่ใกล้คนที่ไอเรื้อรัง

สวมหน้ากากในที่แออัด

เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท

ฉีดวัคซีน BCG ตั้งแต่เด็ก (ช่วยลดความรุนแรงของโรคได้)

ดูแลร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้พอ


สรุปสั้น ๆ

วัณโรคปอดไม่ใช่โรคไกลตัว
แต่เป็นโรคที่ “รักษาหายได้” ถ้าเรารู้ทันและไม่ละเลยอาการ

การไอแค่เล็กน้อย...อาจเป็นสัญญาณเตือนที่คุณไม่ควรมองข้าม

7
จัดฟันบางนา: การดูแลรักษาสุขภาพฟัน ให้ฟันสวยงาม มั่นใจยื่งขึ้น

หลายคนอยากมีฟันที่สวยงามที่จะได้เสริมบุคลิกภาพที่ดี อยากมีรอยยิ้มที่สวยงาม เพื่อที่จะได้แสดงออกถึงความสดใสและสร้างความประทับใจให้แก่ผู้คนที่พบเห็น การมีสุขภาพฟันที่ดี ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักๆ ของการที่เราจะได้มีรอยยิ้มที่สวยงาม เพราะนั่นหมายถึงการดูแลรักษาความสะอาดฟันที่ดี และไม่มีฟันผุเลย จึงทำให้เรามีฟันธรรมชาติที่สวยงามได้อย่างมีประสิทธิภาพ การดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟัน ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม สำหรับวันนี้เราจะมาพูดถึงวิธรการดูแลสุขภาพช่อ

ปากและฟัน ให้เราได้มีฟันที่สวยงาม และเสริมสร้างความมั่นใจให้เราได้ อย่างแรกเลยคือการแปรงฟัน เป็นกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งในชีวิตของคนเรา ดังนั้น หากเราอยากมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ก็ควรที่จะดูแลรักษาช่องปากและฟันอย่างถูกวิธี เพราะจะช่วยทำให้ลดปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับช่องปากได้ เช่น ฟันผุ หินปูน โรคเหงือก หรือปัญหาอื่นๆ อีกมากมายจากปัญหาที่เกิดในช่องปาก ฉะนั้นวิธีการดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟันได้ดีที่สุดในเบื้องต้นคือการแปรงฟันให้ถูกวิธี การแปรงฟันควรจะแปรงอย่างทั่วถึงทุกส่วนของฟัน วันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันหลังแปรงฟัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้คุณมีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติได้

ต่อมาการเลือกใช้ยาสีฟัน ก็มีส่วนช่วยในเรื่องของความสะอาดภายในช่องปาก ซึ่งยาสีฟันจะช่วยลดแบคทีเรียที่สะสม ขจัดปัญหาเรื่องกลิ่นปาก เหงือกอักเสบ คราบหินปูนสะสม เพราะแะนั้น เราควรเลือกยาสีฟันที่ตรงกับความต้องการของเรามากที่สุด เช่น ผู้ที่มีปัญหาอาการเสียวฟัน ก็ควรใช้ยาสีฟันช่วยลดอาการเสียวฟัน หากต้องการเน้นเรื่องฟันขาว ก็ให้เลือกใช้ยาสีฟันสูตรที่ทำให้ฟันขาวขึ้น โดยมีส่วนผสมของไวท์เทนนิ่ง และยาสีฟันที่มีสูตรฟลูออไรด์ก็จะช่วยลดปัญหาฟันผุได้ นอกจากนี้ การดูแลรักษาสุขภาพฟันอีกอย่างหนึ่งก็คือ การใช้น้ำยาบ้วนหลัง หลังจากการแปรงฟัน

เพราะน้ำยาบ้วนปากมีส่วนช่วยในการทำความสะอาจเหงือกและฟันในจุดที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึงได้ ทั้งยังมีสารป้องกันฟันผุ ลดแบคทีเรียน พร้อมช่วยให้ลมหายใจของเรานั้นหอมสดชื่น ลดปัญหาการมีกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์ ที่จะทำให้เราขาดความมั่นใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้เรามีฟันที่สวยงามได้ คือ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดฟันผุ หรือเครื่องดื่มที่เป็นอันตรายต่อผิวของฟัน หรือถ้าหากจะต้องรับประทาน ควรที่ดื่มน้ำเปล่าตามไปมากๆ เพื่อล้างปากและฟันของเรา เพื่อป้องกันฟันเหลือง และลดการเกิดคราบหินปูนได้ และอีกข้อที่สำคัญมากที่สุดคือ การเข้าพบทันตแพทน์เพื่อทำการตรวจฟันอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยปีละ2 ครั้ง เพื่อที่จะได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพฟันของเราได้อย่างต่อเนื่อง

ในทางกลับกันถ้าหากเราละเลยการดูแลรักษาความสะอาดภายในช่องปากและฟันแล้ว แบคทีเรียก็จะไปสะสมอยู่ในช่องปากจนทำให้เกิดอาการปวดฟันขึ้นมา ซึ่งเป็นสัญญาณของการเกิดฟันผุนั่นเอง นอกจากนี้ ปัญหากลิ่นปากอาจจะตามมาได้ เนื่องจากภายในช่องปากมีการสะสมของคราบต่างๆ เพื่อเกิดการสะสมไปนานๆ ก้อาจจะทำให้มีกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์ และจะทำให้เรามีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจและเสียบุคลิกภาพได้ เชื่อว่าปัญหาต่างๆที่กล่าวมานั้น ทุกคนคงไม่อยากเจอ เพราะฉะนั้น เราจะต้องดูแลสุขภาพช่องปากและฟันให้สะอาดอยู่เสมอ

ทางคลินิกเราอยากให้ทุกคนหันมาเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพฟันที่ดี ทางคลินิกของเรามีบริการทางด้านทันตกรรมอย่างครบวงจร เพื่อที่รองรับการเข้ารับบริการของทุกคน เรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน คอยให้คำปรึกษา จึงทำให้มั่นใจได้ว่า จะทำให้คุณมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้ และจะทำให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมทั้งมีฟันที่สวยงาม มั่นใจมากยิ่งขึ้น

8
ดีที่สุดขนของ รถรับจ้างราคาถูก รถขนของสระแก้ว รถ6ล้อรับจ้าง ย้ายหอ ย้ายบ้าน

เปลี่ยนบ้านง่ายๆ กับบริการขนย้ายบ้านในสระแก้ว ขั้นตอนการขนย้ายหอราคาถูกที่คุณควรรู้

การเปลี่ยนบ้านเป็นระยะทางที่ทำให้หลายคนรู้สึกกังวลและมีความเครียด ด้วยการวางแผนและเลือกใช้บริการขนย้ายบ้านในสระแก้ว รถขนของสระแก้ว ที่มีราคาถูกและมีคุณภาพดี คุณสามารถทำให้กระบวนการขนย้ายเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยได้

เมื่อคุณต้องการขนย้ายหอราคาถูก คุณสามารถปฏิบัติตามขั้นตอนเบื้องต้นได้ดังนี้:


1. วางแผนล่วงหน้า

การวางแผนการ ขนย้ายหอสระแก้ว เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การเปลี่ยนบ้านเป็นไปอย่างราบรื่น คุณควรทำการจัดเตรียมแผนการขนย้ายทรัพย์สินและสิ่งของให้เรียบร้อยก่อนเข้าสู่กระบวนการจริง


2. เลือกบริการขนย้ายบ้านในสระแก้ว

เมื่อคุณต้องการขนย้ายหอราคาถูก คุณควรเลือกบริการขนย้ายบ้านในสระแก้วที่มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือ ค้นหาบริษัทที่มีประสบการณ์และความชำนาญในการดำเนินงาน เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าทรัพย์สินของคุณจะถูกดูแลอย่างดี


3. ทดสอบความเชื่อถือและคุณภาพ

ก่อนที่จะเลือกบริษัทขนย้ายบ้าน รถขนของสระแก้ว คุณควรทดสอบความเชื่อถือและคุณภาพของบริษัทก่อน ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อถือและความน่าเชื่อถือของบริษัททางออนไลน์ อ่านรีวิวจากลูกค้าเก่าเพื่อเข้าใจถึงประสบการณ์ที่คุณจะได้รับ


4. ค่าบริการขนย้ายหอราคาถูก

เมื่อคุณเลือกบริษัทขนส่ง ขนย้ายบ้านในสระแก้ว คุณควรพิจารณาค่าบริการขนย้ายหอราคาถูกที่เหมาะสมกับงบประมาณของคุณ แต่อย่าละเลยคุณภาพของบริการ เพราะความประหยัดในราคาอาจไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้บริการที่ดี

   
บริษัทขนย้ายหอราคาถูก: ความเชื่อถือและคุณภาพ

ความเชื่อถือและคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญที่คุณควรให้ความสำคัญในการเลือกบริษัทขนย้ายหอราคาถูก ค้นหาบริษัทที่มีความชำนาญและประสบการณ์ในการดำเนินงาน เพื่อให้การขนย้ายหอเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นไปตามแผน

บริษัทขนย้ายหอราคาถูกจะมีลูกค้ามากมายที่พอใจในคุณภาพและความเชื่อถือของบริษัท อ่านรีวิวและเรื่องราวจากลูกค้าที่ผ่านมาเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการเลือกใช้บริการ


คุณสมบัติของบริการขนย้ายหอราคาถูก

บริการ รถรับจ้างขนของจังหวัดสระแก้ว ขนย้ายหอราคาถูกในสระแก้วมีคุณสมบัติที่คุณควรสังเกตเมื่อทำการเลือกใช้บริการ นี่คือคุณสมบัติหลักที่คุณควรคำนึงถึง:

ความปลอดภัย: บริการขนย้ายหอราคาถูกควรมีมาตรฐานความปลอดภัยสูงเพื่อให้คุณมั่นใจว่าทรัพย์สินของคุณจะถูกปกป้องในระหว่างการขนย้าย

ความรวดเร็ว: บริษัทขนย้ายหอราคาถูกควรมีการดำเนินการที่รวดเร็วและมีความเชื่อถือในการปฏิบัติงาน เพื่อให้การขนย้ายเสร็จสิ้นได้ตรงตามกำหนด

คุณภาพบริการ: คุณภาพของบริการเป็นสิ่งที่ควรพิจารณา เลือกบริษัทที่มีการดูแลลูกค้าอย่างดีและให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของลูกค้า

การสื่อสารที่ดี: การสื่อสารที่เป็นไปอย่างราบรื่นและชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกบริษัท ขนย้ายหอสระแก้วราคาถูก คุณควรติดต่อกับบริษัทที่มีการตอบสนองอย่างรวดเร็วและให้ข้อมูลที่ต้องการ


รับจ้างขนของห้องพัก

ก้าวข้ามข้อจำกัดด้วยบริการขนย้ายหอสระแก้วราคาถูก

การขนย้ายหออาจพบข้อจำกัดหรือภูมิลำเนาที่ซับซ้อนในบางกรณี อาจเกิดความยากลำบากในการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินหรือค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ด้วยบริการขนย้ายหอราคาถูกที่มีความเชื่อถือและคุณภาพ เราสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดนี้ได้อย่างง่ายดาย

   
รับจ้างรถ6ล้อขนย้ายบ้านในสระแก้ว: ความสะดวกสบายและประหยัด

การจ้างรถ6ล้อขนย้ายบ้านในสระแก้วเป็นวิธีที่สะดวกสบายและประหยัดที่สุด เมื่อคุณมีการขนย้ายหอใหญ่หรือมีทรัพย์สินจำนวนมาก รถ6ล้อจะมีพื้นที่ใหญ่พอที่จะรองรับทรัพย์สินและสิ่งของของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

   
ประโยชน์ของการจ้าง รถ6ล้อรับจ้างขนย้ายบ้านสระแก้ว

ความสะดวกสบาย: รถ6ล้อรับจ้างขนย้ายบ้านสระแก้ว มีพื้นที่ใหญ่พอที่จะรองรับทรัพย์สินของคุณได้หลากหลาย คุณสามารถขนย้ายทรัพย์สินทั้งหมดในครั้งเดียว ทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการขนย้าย

ความปลอดภัย: รถ6ล้อมีความแข็งแกร่งและเสถียรภาพที่ดี ทำให้ทรัพย์สินของคุณปลอดภัยระหว่างการขนย้าย

ความเร็วและประหยัด: รถ6ล้อมีความเร็วในการขนย้ายทรัพย์สินได้อย่างรวดเร็ว ทำให้คุณประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการขนย้าย

   
สรุป รถรับจ้างขนของ จังหวัดสระแก้ว ที่คุณควรได้ใช้บริการ

การขนย้ายหอเป็นกระบวนการที่ท้าทายและซับซ้อน แต่เมื่อคุณเลือกใช้บริการขนย้ายบ้านในสระแก้วที่มีราคาถูกและคุณภาพดี คุณสามารถเปลี่ยนบ้านได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย จากขนส่ง ด้วยขั้นตอนการขนย้ายหอราคาถูกและการจ้างรถ6ล้อในการขนย้ายบ้านในสระแก้ว คุณสามารถเริ่มต้นสร้างชีวิตใหม่ในที่ใหม่ได้อย่างง่ายดาย

 
รับจ้างรถ6ล้อรับจ้างขนย้ายบ้านสระแก้ว : ความสะดวกสบายและประหยัด

เชื่อมั่นในขนส่งเพื่อการขนย้ายหอหรือสิ่งของที่รวดเร็วและปลอดภัยที่สุดในสระแก้วและทั่วประเทศ!

9
ตลาดน้ำ นครปฐม เที่ยวไทยใกล้กรุงเทพ หาของอร่อย ดีต่อใจ วันหยุด

ตลาดน้ำในจังหวัดนครปฐมเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ ในวันหยุด เพื่อหาของอร่อยและพักผ่อนหย่อนใจค่ะ มีหลายตลาดน้ำที่มีเอกลักษณ์และน่าสนใจ ลองพิจารณาตลาดน้ำเหล่านี้ดูนะคะ

ตลาดน้ำนครปฐมที่น่าสนใจ

ตลาดน้ำทุ่งบัวแดง ณ บางเลน (บัวแดง ฟาร์ม)

จุดเด่น: ไม่ได้เป็นแค่ตลาดน้ำทั่วไป แต่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่มีทุ่งบัวแดงขนาดใหญ่ให้พายเรือชมความงาม สามารถถ่ายรูปสวยๆ ได้เยอะมาก และมีร้านค้าขายอาหาร เครื่องดื่ม ของฝาก

บรรยากาศ: เน้นความร่มรื่น วิวธรรมชาติของทุ่งบัวและท้องทุ่งนา

ของอร่อย: มีอาหารคาวหวานหลากหลาย ทั้งอาหารไทย ของกินเล่น และเครื่องดื่ม

เหมาะสำหรับ: คนที่ชอบถ่ายรูป ชอบธรรมชาติ และอยากได้บรรยากาศแบบชนบท

ตลาดน้ำลำพญา

จุดเด่น: เป็นตลาดน้ำเก่าแก่ริมแม่น้ำท่าจีน ที่ยังคงรักษาวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชุมชนริมน้ำ มีแพอาหารลอยน้ำให้เลือกนั่งทานอาหารพร้อมชมวิวแม่น้ำ และมีเรือนำเที่ยวชมสองฝั่งคลอง

บรรยากาศ: คลาสสิก ย้อนยุค มีความสงบและเป็นกันเอง

ของอร่อย: อาหารไทยโบราณ ขนมไทยหายาก อาหารทะเลสดๆ จากชาวบ้าน และผลไม้ตามฤดูกาล

เหมาะสำหรับ: คนที่ชอบสัมผัสวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ชอบอาหารท้องถิ่น และอยากล่องเรือชมวิว

ตลาดน้ำดอนหวาย

จุดเด่น: เป็นตลาดเก่าแก่ริมแม่น้ำท่าจีนเช่นกัน แต่จะคึกคักกว่าลำพญา มีชื่อเสียงเรื่องอาหารอร่อยและของฝากมากมาย โดยเฉพาะเป็ดพะโล้และขนมจีนน้ำยา

บรรยากาศ: คึกคัก มีชีวิตชีวา ร้านค้าเรียงรายตลอดทางเดินริมน้ำ

ของอร่อย: เป็ดพะโล้ ขนมจีนน้ำยา ข้าวหลาม ขนมตาล และอาหารคาวหวานอีกมากมาย

เหมาะสำหรับ: สายกินตัวจริงที่ต้องการลิ้มลองอาหารอร่อยหลากหลาย และชอบบรรยากาศตลาดที่คึกคัก

ข้อแนะนำเพิ่มเติมสำหรับทริป 1 วัน

การเดินทาง: ทุกตลาดน้ำที่กล่าวมาสามารถเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวจากกรุงเทพฯ ได้สะดวก ใช้เวลาประมาณ 1-1.5 ชั่วโมง

ช่วงเวลาที่เหมาะสม: ควรไปช่วงสายๆ (ประมาณ 10.00 - 11.00 น.) เพื่อหลีกเลี่ยงคนเยอะและอากาศร้อนจัด และมีเวลาเดินเล่นได้เต็มที่

เตรียมตัว: เตรียมหมวก แว่นกันแดด และร่ม หากไปช่วงกลางวันอากาศอาจจะร้อน

เงินสด: บางร้านค้าอาจรับเฉพาะเงินสด ควรเตรียมเงินสดติดตัวไปด้วย

การไปตลาดน้ำที่นครปฐมเป็นกิจกรรมที่เหมาะกับการพักผ่อนในวันหยุดสั้นๆ ใกล้กรุงเทพฯ ได้ทั้งเดินเล่น ชมวิว ช้อปปิ้ง และอิ่มอร่อยกับอาหารหลากหลาย รับรองว่าดีต่อใจแน่นอนค่ะ!

10
ภัยร้ายของโรคความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง

โรคความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูงเป็น ภัยเงียบคู่แฝด ที่มักมาคู่กัน และเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่เร่งให้เกิดการเสื่อมของหลอดเลือดทั่วร่างกาย ซึ่งนำไปสู่โรคร้ายแรงที่คุกคามชีวิตและก่อให้เกิดความพิการ

ภัยร้ายที่สำคัญที่สุดของทั้งสองโรคนี้ คือการทำลายระบบ หัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular System)


ภัยร้ายที่เกิดจาก ความดันโลหิตสูง (>140/90 mmHg)

ความดันโลหิตสูงเปรียบเหมือน "แรงดันที่มากเกินไป" ที่ทำร้ายผนังหลอดเลือดและหัวใจโดยตรง

ทำลายหลอดเลือด: แรงดันสูงทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัว หนาตัว และเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

ทำลายหัวใจ: หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดผ่านหลอดเลือดที่แข็งตัว ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวขึ้นและนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวในที่สุด


ภาวะแทรกซ้อนหลัก:

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke): สาเหตุสำคัญของอัมพฤกษ์/อัมพาต อาจเกิดจาก:

หลอดเลือดสมองแตก: จากแรงดันสูงที่ดันผนังหลอดเลือดที่เสื่อม

หลอดเลือดสมองตีบ/อุดตัน: จากหลอดเลือดแข็งตัวหรือมีลิ่มเลือดมาอุด

โรคหัวใจขาดเลือดและหัวใจวาย: หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือหัวใจอ่อนแรงจนเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว

โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease): แรงดันที่สูงเกินไปทำลายหลอดเลือดฝอยเล็ก ๆ ในไต (หน่วยกรอง) ทำให้ไตเสื่อมลงจนอาจนำไปสู่ภาวะไตวาย

โรคจอประสาทตาผิดปกติ: หลอดเลือดเล็ก ๆ ที่ตาถูกทำลาย ทำให้การมองเห็นแย่ลงหรือตาบอดได้


ภัยร้ายที่เกิดจาก ไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia)

ไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะ LDL-Cholesterol (ไขมันตัวร้าย) สูง และ HDL-Cholesterol (ไขมันตัวดี) ต่ำ เป็นตัวการหลักในการก่อ "ตะกรันไขมัน"

การก่อตัวของคราบไขมัน (Plaque): ไขมันตัวร้ายจะเข้าไปสะสมและเกาะที่ผนังด้านในของหลอดเลือดแดง ทำให้เกิดภาวะ หลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) หลอดเลือดจะแคบลงและเสียความยืดหยุ่น


ภาวะแทรกซ้อนหลัก:

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ: คราบไขมันที่สะสมในหลอดเลือดหัวใจทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก เสี่ยงต่อภาวะหัวใจขาดเลือด หรือหัวใจวายเฉียบพลัน หากคราบไขมันแตกออกและเกิดลิ่มเลือดอุดตัน

โรคหลอดเลือดสมอง: คราบไขมันสามารถไปตีบตันหลอดเลือดในสมอง หรือลิ่มเลือดจากจุดอื่นหลุดไปอุดตัน ทำให้เกิดอัมพฤกษ์/อัมพาต

โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน: มักเกิดที่ขา ทำให้มีอาการปวดขาเมื่อเดิน (ปวดน่อง), แผลหายยาก และเสี่ยงต่อการสูญเสียนิ้วหรือขา


ความอันตรายเมื่อเป็นทั้ง 2 โรคพร้อมกัน

หากเป็นทั้งความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูงพร้อมกัน ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนจะ ทวีคูณ เพราะ:

ความดันสูง: เร่งให้ผนังหลอดเลือดเกิดความเสียหาย

ไขมันสูง: ใช้ความเสียหายนั้นเป็นจุดเริ่มต้นในการสะสมคราบไขมัน

ผลลัพธ์: หลอดเลือดแข็งตัวและตีบตันเร็วขึ้นมาก ความเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวายและอัมพฤกษ์/อัมพาตจึงสูงกว่าผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเพียงอย่างเดียวหลายเท่า

11
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


12
การหาอาชีพเสริมด้วยการขายอาหาร งานเสริมสุดชาญฉลาดสำหรับพนักงานออฟฟิศ

ในโลกยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างหมุนไปอย่างรวดเร็ว พนักงานออฟฟิศหลายคนกำลังมองหาวิธีเพิ่มรายได้ให้มากกว่าเงินเดือน ค่าครองชีพที่สูงขึ้นและความต้องการความมั่นคงทางการเงินเป็นแรงกระตุ้นให้พนักงานมองหางานเสริมที่ทั้งสนุกและทำกำไร การขายอาหารเป็นงานพาร์ทไทม์ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างรายได้เสริมเท่านั้น แต่ยังสามารถเปลี่ยนความหลงใหลในการทำอาหารให้กลายเป็นโอกาสที่คุ้มค่าได้อีกด้วย

ในฐานะพนักงานประจำที่มีงานหลักอยู่แล้ว การขายอาหารเพื่อหารายได้เสริมเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะเป็นสิ่งที่สามารถเริ่มต้นได้ง่ายและมีความยืดหยุ่นสูง อย่างไรก็ตาม คุณจะต้องจัดสรรเวลาให้ดี รวมถึงวางแผนให้รอบคอบ เพื่อให้การทำธุรกิจเสริมไม่กระทบกับงานประจำ

ทำไมการขายอาหารจึงเป็นงานเสริมที่ดี
อุปสรรคในการเข้าต่ำ – การเริ่มต้นธุรกิจอาหารขนาดเล็กมักต้องใช้เงินทุนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ คุณสามารถเริ่มต้นด้วยเมนูง่ายๆ แล้วค่อยๆ ขยายธุรกิจไปเรื่อยๆ
ความต้องการสูง – อาหารเป็นสิ่งจำเป็น ทุกคนกิน ซึ่งหมายความว่าจะมีลูกค้าเป้าหมายอยู่เสมอ
ความยืดหยุ่น – การขายอาหารสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับตารางเวลาของคุณได้ คุณสามารถเตรียมอาหารก่อนหรือหลังเลิกงาน หรือแม้แต่ขายในช่วงสุดสัปดาห์ก็ได้
ขับเคลื่อนด้วยความรัก – สำหรับคนที่รักการทำอาหาร การทำอาหารไม่ได้หมายถึงแค่เงินเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการแบ่งปันความอร่อยให้กับผู้อื่นด้วย

ข้อดีของการขายอาหารเป็นรายได้เสริม
มีฐานลูกค้าชัดเจน: เริ่มต้นจากเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศ หรือคนในคอนโดมิเนียมเดียวกัน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ใกล้ตัวและเข้าถึงง่าย
ใช้เวลานอกเวลางาน: คุณสามารถทำได้ในช่วงเย็นหลังเลิกงาน หรือวันหยุดสุดสัปดาห์
เป็นงานที่ทำจากความชอบ: หากคุณชอบทำอาหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การขายอาหารจะช่วยให้คุณสนุกไปกับงาน และไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อ

ไอเดียปฏิบัติสำหรับพนักงานออฟฟิศ
กล่องอาหารกลางวันทำเอง – พนักงานออฟฟิศหลายคนชอบอาหารที่ดีต่อสุขภาพและราคาไม่แพง การเตรียมกล่องอาหารกลางวันแบบเบนโตะหรือข้าวแบบไทยๆ สามารถดึงดูดลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
ของว่างและของหวาน – คุกกี้ เค้ก น้ำผลไม้ หรือของว่างแบบดั้งเดิมสามารถขายได้ง่ายเมื่อขายเป็นจำนวนน้อย
สูตรอาหารพิเศษ – หากคุณมีสูตรอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น ซอสเผ็ด ผลิตภัณฑ์ดอง หรือเครื่องดื่มทำเอง สิ่งนี้สามารถสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจของคุณได้
แผงขายของในตลาดนัดสุดสัปดาห์ – การเข้าร่วมตลาดอาหารท้องถิ่นหรืองานแสดงสินค้าชุมชนทำให้คุณสามารถทดลองผลิตภัณฑ์และได้รับลูกค้าประจำ

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ
เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ – เน้นที่รายการอาหารหนึ่งหรือสองรายการก่อน ซึ่งจะช่วยควบคุมต้นทุนและรักษาคุณภาพ
โปรโมตออนไลน์ – ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram หรือ TikTok เพื่อแสดงอาหารของคุณและเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น
รับฟังคำติชม – ความคิดเห็นของลูกค้าสามารถช่วยคุณปรับเปลี่ยนสูตรอาหาร บรรจุภัณฑ์ และราคาได้
การจัดการเวลา – สร้างสมดุลระหว่างงานประจำและงานเสริมด้วยการวางแผนตารางการทำอาหารและการจัดส่งอย่างมีประสิทธิภาพ
ความปลอดภัยและคุณภาพของอาหาร – รักษาความสะอาดและความสม่ำเสมออยู่เสมอเพื่อสร้างความไว้วางใจและส่งเสริมการซื้อซ้ำ

ข้อควรระวัง
อย่าให้กระทบงานหลัก: ธุรกิจเสริมควรเป็นรายได้เสริมอย่างแท้จริง และไม่ควรทำให้คุณเหนื่อยล้าจนประสิทธิภาพการทำงานลดลง
รักษาคุณภาพอาหาร: อาหารต้องอร่อยและสะอาดเสมอ เพราะปากต่อปากคือการตลาดที่ดีที่สุด
เริ่มต้นจากขนาดเล็ก: ไม่ต้องลงทุนมากในตอนแรก เริ่มต้นจากเมนูที่คุณถนัดที่สุดและลูกค้ากลุ่มเล็ก ๆ ก่อน จากนั้นค่อย ๆ ขยายธุรกิจในอนาคต
การขายอาหารเป็นงานที่ต้องใช้ความอดทนและความทุ่มเทพอสมควร แต่หากคุณรักในการทำอาหารและมีการวางแผนที่ดี ธุรกิจนี้ก็สามารถเป็นอีกหนึ่งแหล่งรายได้ที่ช่วยให้คุณมีชีวิตที่ดีขึ้นได้

ประโยชน์ที่เหนือกว่าเงิน
แม้ว่าแรงจูงใจหลักอาจมาจากเรื่องเงิน แต่การขายอาหารก็มีข้อดีอื่นๆ เช่นกัน การขายอาหารให้ความรู้สึกสำเร็จ ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และเปิดโอกาสให้พนักงานออฟฟิศได้พัฒนาทักษะการเป็นผู้ประกอบการ เมื่อเวลาผ่านไป ธุรกิจเสริมขนาดเล็กก็สามารถพัฒนาเป็นอาชีพเต็มเวลาได้

การขายอาหารเป็นอาชีพเสริมเป็นหนึ่งในวิธีที่ทำได้จริงและยั่งยืนที่สุดสำหรับพนักงานออฟฟิศในการหารายได้เสริมด้วยแนวคิดที่ถูกต้อง การวางแผนอย่างชาญฉลาด และความพยายามอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เริ่มต้นจากโปรเจกต์เล็กๆ นอกเวลาอาจเติบโตเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้


13
การจัดฟันเด็ก ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

การจัดฟันในเด็ก ถือเป็นนวัตกรรมสมัยใหม่ที่ได้รับความนิยมมาก เพราะในปัจจุบันพ่อแม่ผู้ปกครองเริ่มหันมาใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของบุตรหลานกันมากขึ้น เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองได้เล็งเห็นความสำคัญของสุขภาพช่องปากและฟัน จึงพาเด็กไปเข้ารับการจัดฟันตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้น ก็มีข้อดีหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของรูปร่างของฟัน ที่จะทำให้ฟันเข้าที่หรืออยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ปรับโครงสร้างของใบหน้าให้เข้าที่มากยิ่งขึ้น รวมไปถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสบฟันที่ดีขึ้น และการบดเคี้ยวอาหารที่ดีกว่าเดิม ทำให้เด็กสามารถทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งส่งผลทำให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีมากขึ้น ป้องกันปัญหาฟันผุ อย่างไรก็ตาม หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟัน สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดหรือปรึกษาทันตแพทย์ที่คลินิกได้ เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อย่างยาวนานในด้านการจัดฟันในเด็ก และมีเครื่องมือการรักษาที่ทันสมัย รับรองได้ว่า จะมีความปลอดภัยและทำให้ฟันของบุตรหลานของท่านสวยงามขึ้นอย่างแน่นอน

และวันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อที่จะได้เป็นแนวทางสำหรับเด็กและพ่อแม่ผู้ปกครองที่อยากจะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟัน

ซึ่งขั้นตอนการเตรียมตัวของเด็กก่อนที่จะเข้ารับการจัดฟันนั้น อย่างแรกเลยก็คือ การสร้างทัศคติที่ดีเกี่ยวกับการทำฟันให้เด็กๆ เพื่อที่จะช่วยลดความกังวลที่จะเข้าพบทันตแพทย์และเป็นการช่วยปลูกฝังในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีให้กับเด็กๆ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องจากเด็กหลายคนมีความกลัวที่จะต้องเข้ารับการตรวจฟัน ซึ่งอาจจะทำให้ไม่ยอมไปเข้ารับการตรวจฟัน อาจจะทำให้เด็กที่สุขภาพช่องปากและฟันที่ไม่ดีได้ ต่อมาถึงขั้นตอนของการเข้ารับการจัดฟัน  ทันตแพทย์จะทำการทำประวัติผู้เข้ารับการจัดฟัน ซึ่งประกอบด้วย วิธีการพิมพ์ปากเพื่อสร้างแบบจำลองฟัน ทั้งที่เป็นแบบปูนหรือแบบดิจิตอล

14
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphomas)

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นมะเร็งของเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์* ซึ่งเกิดขึ้นที่ระบบน้ำเหลือง (lymph system) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย หลัก ๆ ประกอบด้วยต่อมไทมัส ม้าม ไขกระดูก และต่อมน้ำเหลือง (ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วร่างกาย ตามคอ รักแร้ ข้อพับแขน ข้อพับขา ช่องอก ช่องท้อง และอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย) มะเร็งต่อมน้ำเหลืองจึงอาจเริ่มเกิดขึ้นได้ที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใดบริเวณหนึ่ง หรืออวัยวะอันใดอันหนึ่ง เช่น กระเพาะ ลำไส้ ทอนซิล ตับ ตับอ่อน ปอด สมอง ไขสันหลัง

โดยภาพรวม โรคนี้พบได้มากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น พบมากสุดในช่วงอายุ 60-70  ปี พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย ในบ้านเรามะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 5 ในผู้ชาย และอันดับ 9 ในผู้หญิง

เนื่องจากลิมโฟไชต์มีอยู่หลายชนิดย่อย มะเร็งต่อมน้ำเหลืองจึงมีอยู่หลายชนิดย่อย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่

1. มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin lymphoma/HL) พบได้ในคนทุกวัย แต่จะพบบ่อยในช่วงอายุ 15-30 ปี และมากกว่า 55 ปี มะเร็งชนิดนี้จะตรวจพบเซลล์ผิดปกติที่เรียกว่า "เซลล์รีดสเทิร์นเบิร์ก (Reed-Sternberg cells)" ที่ต่อมน้ำเหลือง (ซึ่งจะไม่พบในโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน) ในปัจจุบันมะเร็งชนิดนี้พบว่ามีอยู่ 6 ชนิดย่อยด้วยกัน ส่วนใหญ่จะเริ่มเกิดอาการขึ้นที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณส่วนบนของร่างกาย เช่น คอ ทรวงอก รักแร้

2. มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน (non-Hodgkin lymphoma/NHL) พบได้มากกว่าชนิดฮอดจ์กิน (พบประมาณร้อยละ 85-90 ของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งหมด) และมีการแพร่กระจายได้เร็ว พบได้ในคนทุกวัย และพบมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น มักพบบ่อยในคนอายุมากกว่า 60 ปี ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ และผู้ป่วยที่ผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ ในปัจจุบันมะเร็งชนิดนี้พบว่ามีอยู่กว่า 60 ชนิดย่อยด้วยกัน มะเร็งชนิดนี้สามารถเริ่มเกิดอาการขึ้นที่ต่อมน้ำเหลืองส่วนใดของร่างกายก็ได้ และส่วนใหญ่เกิดจากการกลายพันธุ์ของลิมโฟไซต์ชนิดบี (B lymphocyte)

นอกจากนี้ เมื่อแบ่งตามการเจริญของมะเร็ง มะเร็งชนิดนอนฮอดจ์กินนี้ยังแบ่งเป็น 2 ชนิดย่อย ได้แก่ ชนิดค่อยเป็นค่อยไป หรือ indolent (ซึ่งมีอัตราการแบ่งตัวของมะเร็งค่อนข้างช้า แต่มักจะรักษาได้ไม่หายขาด) กับชนิดรุนแรง หรือ aggressive (ซึ่งมีอัตราการแบ่งตัวของมะเร็งเร็ว ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจเสียชีวิตได้ภายใน 6 เดือน-2 ปี แต่ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องมีโอกาสที่จะหายขาดได้)

อย่างไรก็ตาม มะเร็งต่อมน้ำเหลืองทุกชนิดมีอาการและวิธีรักษาคล้ายคลึงกัน ส่วนผลการรักษาจะแตกต่างกัน ขึ้นกับชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค สภาพของผู้ป่วย และการตอบสนองต่อการรักษา

* ลิมโฟไซต์ (lymphocyte) เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม แบ่งเป็นชนิดบีกับชนิดที

ลิมโฟไซต์ชนิดบี (B lymphocyte) ทำหน้าที่สร้างสารภูมิต้านทาน (antibody) คือ อิมมูโนโกลบูลิน (immunoglobulin) จำเพาะต่อเชื้อโรคชนิดหนึ่ง ๆ ซึ่งไหลเวียนอยู่ในเลือดและสารน้ำทั่วร่างกาย (เรียกว่า humoral immunity)

ลิมโฟไซต์ชนิดที (T lymphocyte) ทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของลิมโฟไซต์ชนิดบี โดย helper T cell สร้างสารลิมโฟไคน์ (lymphokines) ในการควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และทำลายเชื้อโรคโดยตรงโดย killer (cytotoxic) T cell (เรียกว่า cell mediated Immunity)   

สาเหตุ

ปัจจุบันนี้ยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ชัดเจน แต่ผู้ป่วยบางรายอาจพบมีความสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ (ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากขึ้นในคนบางคน)

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน พบว่าอาจมีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การมีประวัติมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (ชนิดใดชนิดหนึ่ง) ในครอบครัว การมีประวัติการติดเชื้อไวรัสอีบีวี (EBV หรือ Epstein-Barr virus เช่น โรค infectious mononucleosis)

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน พบว่าอาจมีปัจจัยเสี่ยง  ได้แก่ การติดเชื้อไวรัส (เช่น ไวรัสตับอักเสบซี, ไวรัสเอชทีแอลวี-1 หรือ HTLV-1, ไวรัสอีบีวี หรือ EBV, เอชไอวี), การติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น เชื้อเฮลิโคแบกเตอร์ไพโลไร ซึ่งทำให้เกิดโรคแผลเพ็ปติก), ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยที่ผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ), ผู้ที่เป็นโรคภูมิต้านตัวเอง (เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เอสแอลอี), การสัมผัสสารเคมีบางชนิด (เช่น เบนซิน ยาฆ่าแมลงหรือยาฆ่าหญ้าบางชนิด)


อาการ

อาการที่โดดเด่น คือ มีก้อนบวม (ของต่อมน้ำเหลือง) ที่ข้างคอ รักแร้ หรือขาหนีบ นานเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นแรมเดือนโดยไม่รู้สึกเจ็บ บางรายอาจมีก้อนขึ้นพร้อมกันหลายแห่ง

บางรายอาจมีไข้เรื้อรังโดยตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติอื่น ๆ หรืออาจมีไข้สูงอยู่หลายวันสลับกับไม่มีไข้หลายวัน อาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ เหงื่อออกตอนกลางคืน หนาวสั่น ทอนซิลโต หรือคันตามผิวหนัง

ผู้ป่วยอาจมีอาการที่เกิดจากก้อนมะเร็งต่อมน้ำเหลืองกดถูกอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย เช่น

    ถ้าเกิดในช่องอก ทำให้มีอาการไอ เจ็บแน่นหน้าอก หายใจลำบาก หน้าบวม คอบวม แขนบวม
    ถ้าเกิดในช่องท้อง ทำให้มีอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูก เบื่ออาหาร ดีซ่าน
    ถ้าเกิดในลำไส้เล็ก ทำให้มีอาการน้ำหนักลด ท้องเดิน ลำไส้ไม่ดูดซึมอาหาร
    ถ้าเกิดที่ขาหนีบ อาจมีอาการขาบวมจากภาวะอุดกั้นทางเดินน้ำเหลือง
    ถ้าเกิดในสมอง ไขสันหลังหรือระบบประสาท ทำให้มีอาการปวดศีรษะ แขนขามีอาการปวด หรือชาหรืออ่อนแรง เป็นต้น

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ภาวะแทรกซ้อน

มักเกิดจากการที่มีก้อนของมะเร็งไปกดหรือทำลายอวัยวะต่าง ๆ เช่น ทำให้เกิดภาวะอุดกั้นของระบบไหลเวียนเลือดหรือน้ำเหลือง ทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ (อาจทำให้เกิดภาวะไตวายตามมาได้) เป็นต้น

ถ้ามะเร็งลุกลามเข้าสมอง ไขสันหลัง หรือกดถูกเส้นประสาทสันหลัง ก็ทำให้ปวดศีรษะ แขนขามีอาการปวด หรือชา หรืออ่อนแรง

ถ้ามะเร็งลุกลามเข้าไขกระดูก ก็ทำให้สร้างเม็ดเลือดทุกชนิดไม่ได้ ทำให้เกิดภาวะซีด เลือดออกง่าย และติดเชื้อง่าย ซึ่งอาจรุนแรงจนเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษได้

ถ้ามีก้อนมะเร็งที่กระเพาะอาหาร นอกจากเกิดภาวะกระเพาะอาหารอุดกั้นแล้ว ยังอาจมีเลือดออก (อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากการซักถามอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และตรวจร่างกายพบสิ่งผิดปกติ ที่สำคัญคือ ตรวจพบก้อนบวมของต่อมน้ำเหลืองที่คอ รักแร้หรือขาหนีบ ลักษณะแข็ง ไม่เจ็บ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1 ซม.

บางรายอาจพบว่ามีไข้ ทอนซิลโต ตับโต ม้ามโต ดีซ่าน แขนขาบวม แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด หรือมีจุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตัดต่อมน้ำเหลืองนำไปตรวจพิสูจน์ (lymph node biopsy) ซึ่งจะพบลักษณะของเซลล์ที่เป็นมะเร็ง สำหรับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กินจะพบเซลล์มะเร็งที่เรียกว่า "เซลล์รีดสเทิร์นเบิร์ก (Reed-Sternberg cells)"

แพทย์จะทำการตรวจเลือด (เช่น ดูจำนวนของเม็ดเลือดต่าง ๆ การทำงานของตับ ไต) ตรวจไขกระดูก (ตรวจหาเซลล์มะเร็งในไขกระดูก)

นอกจากนี้ แพทย์จะทำการประเมินภาวะแทรกซ้อนและระยะของโรค ด้วยการเอกซเรย์ปอด ถ่ายภาพอวัยวะตามส่วนต่าง ๆ (เช่น ทรวงอก ช่องท้อง สมอง ไขสันหลัง) ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือเพตสแกน (PET scan) และ/หรือทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะทำการรักษาโดยพิจารณาจากชนิดและระยะของโรคมะเร็งต่อมนำเหลือง

ในรายที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดเจริญช้า (หรือชนิดค่อยเป็นค่อยไป) และมีอาการยังไม่มาก แพทย์จะเฝ้าติดตามดูอาการเปลี่ยนแปลง และนัดมาตรวจ (เช่น ตรวจเลือด ตรวจทางรังสี) เป็นระยะ จนกว่าจะมีอาการมากขึ้นจึงจะให้การรักษา

ในรายที่มีอาการมาก หรือเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดเจริญหรือลุกลามเร็ว แพทย์ก็จะให้การรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัดเพียงอย่างเดียว หรือร่วมกันทั้งสองอย่าง ขึ้นกับชนิดและระยะของโรค เช่น ในรายที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน ส่วนใหญ่จะให้การรักษาด้วยเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว หรือเคมีบำบัดร่วมกับรังสีบำบัด หรือเคมีบำบัดร่วมกับการให้ยาสเตียรอยด์

ในรายที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะที่ 1 (พบเพียงบริเวณเดียว) และเป็นชนิดไม่รุนแรง ก็สามารถให้รังสีบำบัดเพียงอย่างเดียว

ในรายที่เป็นชนิดรุนแรงหรือระยะท้าย ๆ ก็จำเป็นต้องให้เคมีบำบัดร่วมกับรังสีบำบัด และยาอื่น ๆ เช่น ยารักษาแบบมุ่งเป้า (targeted drugs เช่น rituximab) ยาอิมมูนบำบัด (immunotherapy drugs) เป็นต้น

ในรายที่มีการเกิดโรคกลับ (relapse) แพทย์จะให้เคมีบำบัดด้วยขนาดยาที่สูง และทำการปลูกถ่ายไขกระดูกหรือเซลล์ต้นกำเนิด ก็มักช่วยให้มีชีวิตยืนยาวขึ้นหรือหายได้

ผลการรักษา ขึ้นกับชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค สภาพของผู้ป่วย และการตอบสนองต่อการรักษา

ถ้าได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรก ๆ มักจะได้ผลดี สามารถหายเป็นปกติ และมีชีวิตที่ยืนยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน

ถ้าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะท้าย หรือชนิดรุนแรง (เจริญเร็ว) การรักษาก็มักจะได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร

การแบ่งระยะของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ระยะที่ 1: มีรอยโรคที่ต่อมน้ำเหลือง บริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกายเพียงแห่งเดียว (เช่น คอด้านซ้ายหรือด้านขวา หรือรักแร้ด้านซ้ายหรือด้านขวา หรือขาหนีบด้านซ้ายหรือด้านขวา) หรือมีรอยโรคที่นอกต่อมน้ำเหลือง (คือที่อวัยวะอันใดอันหนึ่งภายในร่างกาย) เพียงแห่งเดียว

ระยะที่ 2: มีรอยโรคของต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่ 2 ตำแหน่งขึ้นไป (เช่น คอด้านซ้ายกับคอด้านขวา หรือคอด้านซ้ายกับรักแร้ด้านซ้าย หรือขาหนีบด้านซ้ายกับขาหนีบด้านขวา) หรือมีรอยโรคที่อวัยวะอันใดอันหนึ่งและที่ต่อมน้ำเหลือง 1 ตำแหน่งหรือมากกว่า โดยที่รอยโรคทั้งหมดยังจำกัดอยู่ในบริเวณที่อยู่เหนือกะบังลมขึ้นไปด้วยกัน หรือในบริเวณที่อยู่ใต้กะบังลมลงมาด้วยกัน

ระยะที่ 3: มีรอยโรคของต่อมน้ำเหลือง ทั้งที่ในบริเวณที่อยู่เหนือกะบังลมขึ้นไป และในบริเวณที่อยู่ใต้กะบังลมลงมาพร้อมกัน (เช่น คอกับขาหนีบ รักแร้กับขาหนีบ) และอาจพบรอยโรคที่อวัยวะนอกต่อมน้ำเหลือง และ/หรือที่ม้ามร่วมด้วย

ระยะที่ 4: มีรอยโรคที่กระจายไปที่อวัยวะต่าง ๆ (เช่น ปอด ตับ ไขกระดูก สมอง ไขสันหลัง กระเพาะ ลำไส้ กระดูก) มากกว่า 1 ตำแหน่ง โดยไม่นับรวมม้ามกับต่อมไทมัส

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น คลำได้ก้อนบวมของต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอ รักแร้ หรือขาหนีบ หรือมีไข้เรื้อรัง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ)  ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์และทีมสุขภาพที่ดูแล

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ส่วนใหญ่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น การติดเชื้อไวรัสบางชนิด (เช่น เอชไอวี) สารเคมีบางชนิด (เช่น เบนซิน ยาฆ่าแมลงหรือยาฆ่าหญ้าบางชนิด) เป็นต้น อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคนี้

ควรป้องกันไม่ให้โรคลุกลาม โดยการไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ เมื่อสังเกตว่ามีอาการที่น่าสงสัย


ข้อแนะนำ

1. มะเร็งต่อมน้ำเหลืองไม่ใช่โรคติดต่อ ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดหรือเป็นญาติพี่น้องกับผู้ป่วย ไม่ต้องกลัวว่าจะติดโรคจากผู้ป่วย

2. การรักษากับแพทย์ในโรงพยาบาลให้ผลดีมากกว่าการไม่รักษา ผู้ป่วยควรมีกำลังใจเข้ารับการรักษาอย่างจริงจังและต่อเนื่องตามที่แพทย์นัด และอดทนต่อผลข้างเคียงของการใช้ยาเคมีบำบัด (เช่น ผมร่วง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร) ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งมักเป็นเพียงชั่วคราว

3. ในปัจจุบันมีการพัฒนาวิธีการรักษาด้วยยากลุ่มใหม่ ๆ (ซึ่งใช้สะดวก ได้ผลดีและมีผลข้างเคียงน้อย) และการปลูกถ่ายไขกระดูกหรือเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวขึ้น หรือบางรายอาจหายขาดได้

4. เนื่องจากมะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาจเกิดขึ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายก็ได้ โรคนี้จึงมีอาการแสดงได้หลากหลาย ขึ้นกับตำแหน่งที่เกิดขึ้นของมะเร็ง และระยะของโรค

อาการที่เห็นได้ชัด คือ ก้อนบวมที่พบและคลำได้จากภายนอก เช่น ก้อนที่คอ รักแร้ หรือขาหนีบ แต่บางรายอาจเกิดขี้นที่อวัยวะภายใน โดยไม่พบก้อนที่ภายนอกก็ได้ ดังนั้นผู้ที่มีอาการเรื้อรังที่หาสาเหตุไม่พบในระยะแรก เช่น ไอเรื้อรัง (ทำให้เข้าใจว่าเป็นโรคหลอดลมหรือโรคปอด ซึ่งแพทย์อาจลองตรวจรักษาแบบโรคหลอดลมหรือโรคปอดแล้วไม่ได้ผล) ปวดท้องเรื้อรัง (ทำให้เข้าใจว่าเป็นโรคกระเพาะ ซึ่งแพทย์อาจลองตรวจรักษาแบบโรคกระเพาะแล้วไม่ได้ผล) ปวดศีรษะเรื้อรัง แขนขาชาหรืออ่อนแรง (ทำให้เข้าใจว่าเป็นโรคของสมองหรือระบบประสาท ซึ่งแพทย์อาจลองตรวจรักษาแบบโรคของสมองหรือระบบประสาทแล้วไม่ได้ผล) ก็ควรมีความอดทน และติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัดอย่างต่อเนื่อง แพทย์ก็จะทำการตรวจด้วยวิธีต่าง ๆ เพิ่มเติม ในที่สุดก็มักจะตรวจพบร่องรอยของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกาย

15
รู้เรื่องขนย้าย ช่วยให้ง่ายกว่าที่คิด! รถรับจ้างขนย้ายบ้านขอนแก่น

แค่ได้ยินคำว่า ขนย้าย ก็ปวดหัวแล้วใช่ไหม? ลองจินตนาการดูสิค่ะว่า บ้านทั้งหลังที่เต็มไปด้วยข้าวของ เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ หนังสือ ของสะสม และสารพัดสิ่งที่เราไม่เคยรู้ตัวว่ามีอยู่ กลายเป็นภารกิจที่ต้อง แพ็ก จัด ขน และจัดวางใหม่ ให้เสร็จภายในไม่กี่วัน แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งถอดใจเรื่องขนย้ายค่ะ รถรับจ้างขอนแก่น ช่วยคุณได้ ความจริงแล้ว การขนย้ายบ้านไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้าเรามีความรู้และวางแผนอย่างถูกต้อง มาดูกันว่าแค่รู้เรื่องขนย้าย ก็สามารถเปลี่ยนจากเรื่องวุ่นวายให้กลายเป็นภารกิจที่คุณควบคุมได้ง่ายๆ อย่างไร มาดูกัน


1. วางแผนให้เป็นมือโปร

การย้ายบ้านที่ราบรื่น เริ่มต้นจากแผนที่ดี รถรับจ้างขอนแก่น แนะนำให้เริ่มต้นจากวางแผนล่วงหน้าอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ ทำรายการข้าวของ ที่ต้องขนย้าย จัดหมวดหมู่ และแยกสิ่งที่ไม่จำเป็นออก ควรคิดล่วงหน้าว่าจะจัดของชิ้นใหญ่ (เช่น โซฟา ตู้เย็น เตียง) อย่างไร และสามารถเข้า-ออกประตูบ้านได้หรือไม่ และที่สำคัญควรวางแผนเส้นทางการเดินทางโดยเฉพาะถ้าคุณต้องขนย้ายต่างจังหวัด พื้นที่ห่างไกลค่ะ


2. แพ็กของให้เป็นศิลปะ

การแพ็กของเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เลือกใช้กล่องที่แข็งแรงและพอดีกับประเภทของของ เช่น กล่องหนังสือ กล่องเสื้อผ้า กล่องจานชาม ทำสัญลักษณ์ แปะป้ายชื่อให้เรียบร้อย ควรเลือกใช้ บับเบิ้ลกันกระแทก สำหรับของที่เปราะบาง เสี่ยงที่จะแตกหักง่าย ควรแพ็กของตามลำดับความสำคัญ สิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ก่อนควรอยู่ในกล่องที่หยิบง่ายที่สุดค่ะ


3. เลือกทีมขนย้ายที่ไว้ใจได้

อย่าคิดว่าใครก็ขนของได้ รถรับจ้างขอนแก่น บริษัทขนย้ายมืออาชีพสามารถช่วยคุณได้มากกว่าที่คิด เพราะจะมีอุปกรณ์พร้อม เช่น รถขนย้าย รถยก เครื่องมือเคลื่อนย้าย อีกทั้งยังมีบุคลากรที่รู้วิธีจัดวาง ป้องกันความเสียหาย อีกทั้งยังมีประกันความเสียหาย ช่วยให้คุณอุ่นใจ ซึ่งมาพร้อมกับบริการเสริม เช่น แพ็กของให้ จัดบ้านใหม่ให้เสร็จสรรพค่ะ


4. จัดบ้านใหม่อย่างมีความสุข

การขนย้ายไม่ใช่แค่ “ย้ายของ” แต่คือการเริ่มต้นใหม่ และแน่นอนว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะใช้โอกาสนี้เคลียร์ของ ที่ไม่ได้ใช้ไปบริจาคหรือขายมือสองได้ และได้วางแผนการจัดบ้านใหม่ตามไลฟ์สไตล์ของคุณ จัดโซนให้เหมาะกับการใช้งาน เช่น มุมทำงาน มุมพักผ่อน สร้างบรรยากาศใหม่ด้วยต้นไม้ กลิ่นหอม หรือแสงไฟอบอุ่น อย่างมีความสุขค่ะ

รู้เรื่องขนย้าย = ขนย้ายแบบมีชัยไปกว่าครึ่ง

การขนย้ายไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่จนคุณจัดการไม่ได้ แค่คุณมี แผนที่ดี ทีมที่ไว้ใจได้ และใจที่พร้อมเริ่มต้นใหม่ ทุกอย่างก็จะราบรื่นกว่าที่คิดแล้วค่ะ และจำไว้ว่า บ้านไม่ใช่แค่ที่อยู่ แต่มันคือที่ที่คุณวางใจ และเริ่มต้นเรื่องราวบทใหม่ในชีวิตค่ะ


เริ่มต้นขนย้าย เริ่มกับ รถรับจ้างขอนแก่น

ให้ทุกการขนย้ายเป็นเรื่องง่าย...ตั้งแต่ก้าวแรก! เมื่อถึงเวลาต้องขนย้ายบ้าน หอพัก คอนโด สำนักงาน หรือแม้แต่สินค้าธุรกิจ สิ่งหนึ่งที่หลายคนมองหาเป็นอันดับแรกคือ รถรับจ้าง ที่เชื่อถือได้ ราคาไม่แรง และให้บริการครบครัน แต่รู้ไหมว่าความสำเร็จของการขนย้ายไม่ได้อยู่แค่รถ แต่อยู่ที่ทีมงานมืออาชีพ และความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า และนี่แหละคือสิ่งที่ รถรับจ้างขอนแก่น ทำได้เหนือกว่าใคร

ขนของครบ จบในที่เดียว! ตั้งแต่กระบะถึงเฮี๊ยบ บริการด้วยใจ พร้อมไปกับคุณทุกเส้นทาง

หากคุณกำลังมองหารถรับจ้างในขอนแก่นที่ ครอบคลุมทุกขนาดการขนส่ง ไม่ว่าจะขนย้ายเล็ก ขนของใหญ่ หรือขนงานก่อสร้างระดับโปรเจกต์ ขนส่ง คือคำตอบที่ใช่ที่สุด เพราะเราไม่ได้แค่มี “รถรับจ้างขอนแก่น” แต่เรามี รถรับจ้างที่ตรงกับความต้องการของคุณ ทุกประเภท พร้อมทีมงานมืออาชีพที่ดูแลคุณตั้งแต่ต้นจนจบ
บริการรถหลากหลายประเภท ครบทุกสถานการณ์

   
รถกระบะ

เหมาะสำหรับงานขนย้ายขนาดเล็ก เช่น ย้ายหอพัก คอนโด กล่องพัสดุ งานเอกสาร ฯลฯ

✔ คล่องตัว วิ่งเข้าได้แม้ในซอยแคบ

✔ มีทั้งแบบตู้ทึบ และคอกเหล็ก

   
รถสี่ล้อใหญ่

สำหรับของชิ้นใหญ่แต่ยังต้องการความคล่องตัว เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์สำนักงาน บรรจุของได้มากขึ้น แต่ยังเคลื่อนตัวได้ในเมือง

   
รถหกล้อ

เหมาะกับงานขนย้ายระดับกลางถึงใหญ่ เช่น ย้ายบ้านทั้งหลัง ขนเครื่องจักร ขนสินค้าในปริมาณมาก

✔ รับน้ำหนักได้ถึง 5-7 ตัน

✔ มีผ้าใบคลุม ป้องกันฝนและแดด

   
รถสิบล้อ

เหมาะกับงานอุตสาหกรรม งานก่อสร้าง หรือธุรกิจขนส่งระหว่างจังหวัด

✔ วิ่งไกล ขนของจำนวนมาก

✔ ปลอดภัยตามมาตรฐานกรมขนส่ง

   
รถเทรลเลอร์

สำหรับงานหนักระดับโปรเจกต์ เช่น ขนเครื่องจักรใหญ่ ตู้คอนเทนเนอร์ เหล็กเส้น หรือวัตถุก่อสร้างขนาดใหญ่

✔ ขนของหนักพิเศษ

✔ มีระบบล็อก ป้องกันการเลื่อนไถล

   
รถเฮี๊ยบ (ติดเครน)

ไม่ใช่แค่ขน แต่ ยกและขนได้ในคันเดียว เหมาะกับงานติดตั้งวัสดุก่อสร้าง ยกของขึ้นอาคาร ขนเครื่องจักร ฯลฯ

✔ เครนยกได้สูง ปลอดภัยทุกขั้นตอน

✔ เหมาะกับไซต์งานที่ไม่มีเครนประจำ

บริการมากกว่าแค่ขับรถขนส่ง ไม่ได้แค่ให้รถ เรา รถรับจ้างขอนแก่น ให้ บริการขนย้ายอย่างครบวงจร ทีมงานมืออาชีพ ยกของอย่างระมัดระวัง มีอุปกรณ์ช่วยยก พร้อมเชือก มัดตรึงของ จัดวางของอย่างเป็นระบบ ป้องกันเสียหาย รับรองมาที่นี่ครบจบในที่เดียว รถรับจ้างขอนแก่น

หน้า: [1] 2 3 ... 22